แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างต่อเนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไปพร้อม ๆ กับการเพิ่มความหลากหลายของแหล่งเงินกู้ไปด้วย แนวโน้มอันดับเครดิตยังพิจารณารวมไปถึงความคาดหมายที่คณะผู้บริหารของบริษัทจะสามารถคงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและรักษาผลการดำเนินงานในระดับที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ด้วย
อันดับเครดิตและหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทจะสามารถปรับขึ้นได้หากบริษัทเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจการเงินของธนาคารกรุงเทพ ภายใต้การกำกับแบบรวมกลุ่มของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือหากบริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากกว่าเดิมและสามารถสร้างผลกำไรจนสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งทางธุรกิจได้ ในทางกลับกัน หากบริษัทไม่สามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดหรือมีความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงหรือค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองที่สูงขึ้น สถานะอันดับเครดิตของบริษัทก็อาจถูกปรับลดลงได้
บริษัทบีเอสแอล ลีสซิ่ง ก่อตั้งในปี 2528 โดยการร่วมทุนระหว่างธนาคารกรุงเทพและบริษัทในกลุ่มกับ Sumitomo Mitsui Banking Corporation (SMBC) จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการทางการเงินสำหรับจัดซื้อเครื่องจักรและยานพาหนะในอุตสาหกรรมภายใต้สัญญาลีสซิ่งและเช่าซื้อ ต่อมาในปี 2547 บริษัทได้ขยายสู่ธุรกิจแฟคตอริ่ง ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในปัจจุบันคือกลุ่มธนาคารกรุงเทพซึ่งถือหุ้นในสัดส่วน 35.88% SMBC ถือ 40% และ JA Mitsui Leasing ถือ 10% ทั้งธนาคารกรุงเทพและ SMBC ให้การสนับสนุนแก่บริษัททั้งในรูปการให้เงินกู้และการแนะนำลูกค้าให้บางส่วน ในปี 2553 ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริการสินเชื่อและลีสซิ่งอุปกรณ์และเครื่องจักรของบริษัทอยู่ในอันดับที่ 4 จากจำนวนผู้ให้บริการรายใหญ่ 10 รายในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง ในปี 2554 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดลดลงมาอยู่ที่อันดับ 7 และในปี 2555 และ 2556 ยังคงอยู่ที่อันดับ 7 แม้ว่าสินเชื่อจะเติบโตขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ สินเชื่อคงค้างของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 3,249 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 5,269 ล้านบาทในปี 2554 และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 6,209 ล้านบาทในปี 2557 ธุรกิจของบริษัทกระจุกตัวอยู่เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลโดยผ่านการให้บริการของสำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว ลูกค้าของบริษัทจึงจำกัดอยู่แต่เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และบริเวณใกล้เคียง ส่งผลให้บริษัทมีฐานลูกค้าที่ขาดความหลากหลายในเชิงพื้นที่เมื่อเทียบกับสถาบันการเงินรายใหญ่อื่น ๆ
รายได้สุทธิของบริษัท (ปรับจากรายได้สุทธิของธุรกิจให้เช่าดำเนินงาน) อยู่ที่ 542 ล้านบาทในปี 2556 และเพิ่มขึ้นเป็น 606 ล้านบาทในปี 2557 ซึ่งเป็นผลจากสินเชื่อคงค้างที่เติบโตขึ้น ทั้งนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิ 242 ล้านบาทในปี 2557 เพิ่มขึ้นถึง 20.5% จากปีก่อน เป็นผลทำให้บริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยอยู่ในระดับสูงที่ 16.49% และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมเฉลี่ย 2.81% ในปี 2557 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 16.05% และ 2.71% ตามลำดับ ผลประกอบการที่ดีขึ้นของบริษัทเป็นผลมาจากการมีส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่กว้างขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปัจจุบันจะเป็นความท้าทายสำหรับบริษัทในการที่จะรักษาอัตรากำไรให้คงอยู่ในระดับเดิมหรือเพิ่มขึ้นได้
บริษัทมีการบริหารมูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์ให้เช่าที่มีประสิทธิภาพจนสามารถสร้างรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากกำไรที่ได้จากการขายสินทรัพย์ให้เช่าดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ในภาวะที่ราคารถใช้แล้วลดลงจากผลกระทบของนโยบายรถคันแรกนั้น บริษัทยังคงสามารถรักษาระดับกำไรจากการขายสินทรัพย์ให้เช่าได้ โดยในปี 2554 บริษัทมีกำไรอยู่ที่ 29 ล้านบาท ในปี 2555 อยู่ที่ 24 ล้านบาท และในปี 2556 อยู่ที่ 19 ล้านบาท สำหรับปี 2557 กำไรที่ได้จากการขายสินทรัพย์ให้เช่าลดลงอยู่ที่ 13 ล้านบาท น้อยลงถึง 46% เมื่อเทียบกับปี 2556 เนื่องจากการลดลงอย่างมากของราคารถยนต์มือสอง
บริษัทมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี โดยมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ค้างชำระเกิน 3 เดือน) ต่อเงินให้สินเชื่อรวมในระดับ 2% ในปี 2555 และลดลงมาอยู่ที่ 0.7% ในปี 2556 ในปี 2557 อัตราส่วนดังกล่าวยังลดลงอย่างต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ระดับ 0.4% เนื่องจากการควบคุมความเสี่ยงที่เข้มงวด ทำให้บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทริสเรทติ้งจะจับตาดูคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ หากคุณภาพสินทรัพย์เสื่อมลงก็จะมีผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทได้
ทั้งธนาคารกรุงเทพและบริษัทต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินที่กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์จำกัดการให้สินเชื่อแก่บริษัทที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทที่เกี่ยวข้องได้แก่บริษัทที่ธนาคารพาณิชย์ถือหุ้นเกิน 10% ซึ่งสินเชื่อที่จะให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องนั้นจะต้องไม่เกิน 5% ของเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ หรือไม่เกิน 25% ของหนี้สินทั้งหมดของบริษัทที่เป็นลูกหนี้ แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า ผลจากกฎระเบียบดังกล่าวทำให้ความยืดหยุ่นในการหาแหล่งเงินทุนของบริษัทยังคงมีข้อจำกัดเนื่องจากในอดีตบริษัทพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากธนาคารกรุงเทพเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา บริษัทได้กระจายแหล่งกู้ยืมไปยังสถาบันการเงินอื่นมากขึ้นรวมถึงการออกตราสารหนี้ในตลาดทุน บริษัทเริ่มมีการออกตั๋วสัญญาใช้เงินในปี 2553 ออกหุ้นกู้ในปี 2554 และออก Shogun Bonds 3 ครั้งมูลค่ารวม 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ระหว่างปี 2555-2557 ณ สิ้นปี 2557 บริษัทมีสัดส่วนเงินกู้เพียง 5.9% จากธนาคารกรุงเทพ และ 6.4% จาก SMBC ของจำนวนหนี้สินรวม 6,750 ล้านบาท บริษัทมีวงเงินสินเชื่อที่เพียงพอรองรับปัญหาการขาดสภาพคล่องในระยะสั้นที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีกระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพจากการมีเงินผ่อนชำระรายเดือนจากลูกค้า และยังมีวงเงินสินเชื่อของธนาคารกรุงเทพที่เก็บเอาไว้ใช้เป็นเงินทุนแหล่งสุดท้ายในกรณีที่มีความต้องการเพิ่มสภาพคล่องในอนาคตด้วย
บริษัท บีเอสแอล ลีสซิ่ง จำกัด (BSL)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable