ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. ทรัพย์ศรีไทย” ที่ “BBB-” และเปลี่ยนแนวโน้มเป็น “Stable” จาก “Negative”

พุธ ๒๒ เมษายน ๒๐๑๕ ๑๐:๐๖
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ทรัพย์ศรีไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” พร้อมทั้งปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Negative” หรือ “ลบ” โดยการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสะท้อนถึงธุรกิจอาหารที่ขยายตัวและการขายธุรกิจถั่วเหลืองและน้ำมันพืชที่ขาดทุนอย่างต่อเนื่องออกไป อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงโอกาสเติบโตในธุรกิจอาหารและการดำเนินงานที่มั่นคงของธุรกิจคลังสินค้าและคลังเอกสาร อย่างไรก็ตาม ความแข่งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจอาหารท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและการบริโภคที่อ่อนตัวลง

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่ดีขึ้นของบริษัท โดยความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของบริษัทลดลงหลังจากบริษัทได้ขายธุรกิจที่มีความผันผวนออกไป ในขณะเดียวกัน แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะมีฐานะการเงินที่ดีขึ้นโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของกระแสเงินสดจากธุรกิจอาหารและธุรกิจคลังสินค้า

คุณภาพเครดิตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบในทางลบหากอัตรากำไรของบริษัทยังคงอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องหรือบริษัทมีการลงทุนที่ทำให้บริษัทต้องก่อหนี้เป็นจำนวนมาก ปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัทมาจากความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอาหารซึ่งเห็นได้จากการมีอัตรากำไรที่สูงกว่าคาดและมี EBITDA สูงกว่า 600 ล้านบาทต่อปี

บริษัททรัพย์ศรีไทยก่อตั้งในปี 2519 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2530 ณ เดือนมีนาคม 2558 ครอบครัวชินธรรมมิตร์และกลุ่มเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วนรวมกันจำนวน 67.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด เริ่มแรกบริษัทดำเนินธุรกิจคลังสินค้าและท่าเรือที่จังหวัดสมุทรปราการ และต่อมาได้ขยายกิจการสู่ธุรกิจคลังเอกสาร บริษัทขยายกิจการสู่ธุรกิจถั่วเหลืองและน้ำมันพืชในปี 2553 อย่างไรก็ตาม บริษัทขายธุรกิจนี้ออกไปในเดือนกันยายน 2558 และในปี 2555 บริษัทได้ขยายกิจการไปสู่ธุรกิจอาหารโดยได้ซื้อกิจการของกลุ่ม Mudman ที่ถือสิทธิในการประกอบธุรกิจร้าน “Dunkin’ Donuts” “Au Bon Pain” และ “Baskin Robbins” ในประเทศไทย บริษัทยังขยายการลงทุนไปในธุรกิจอาหารเพิ่มเติมโดยการซื้อกลุ่ม Greyhound อันประกอบไปด้วย บริษัท เกรฮาวด์ จำกัด (GH) และ บริษัท เกรฮาวด์ คาเฟ่ จำกัด (GHC) ซึ่งทำให้บริษัทมีแบรนด์อาหารเป็นของตนเอง ณ สิ้นปี 2557 บริษัทมีร้านอาหารทั้งหมด 361 ร้าน เทียบกับ 338 ร้าน ณ สิ้นปี 2556 ปัจจุบันธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ส่วนใหญ่ให้แก่บริษัทซึ่งคิดเป็นกว่า 80% ของรายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 2557

ณ สิ้นปี 2557 บริษัทมีรายได้ 2,455 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จาก 2,071 ล้านบาทในปี 2556 การเพิ่มขึ้นของรายได้ดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากการรวมเอารายได้ของกลุ่ม Greyhound เข้ามาจำนวน 328 ล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าวแล้ว รายได้ของบริษัทจะเติบโต 2.7% การเติบโตที่อ่อนตัวสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัว บริษัทมีอัตรากำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขาย) ลดลงจาก 16.8% ในปี 2556 เป็น 12% ในปี 2557 การลดลงดังกล่าวส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากค่าใช้จ่ายพิเศษเกี่ยวกับการซื้อกิจการและขายธุรกิจของบริษัทที่เกิดขึ้นในระหว่างปี

ในอนาคตมีการคาดหมายว่าธุรกิจของบริษัทจะเติบโตขึ้นจากการเพิ่มจำนวนสาขาของธุรกิจอาหาร รวมถึงธุรกิจที่เพิ่งซื้อเข้ามาอย่าง GHC นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศผ่านการขายแฟรนชายส์ด้วย ซึ่งรายได้จากการขายแฟรนชายส์จะช่วยให้บริษัทมีอัตรากำไรดีขึ้นเพราะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ในปี 2558 รายได้ของบริษัทคาดว่าจะเติบโตขึ้นกว่า 25% โดยเกิดจากการรวมรายได้เต็มปีของกลุ่ม Greyhound และแผนการขยายสาขาในส่วนธุรกิจอาหารของบริษัท ทริสเรทติ้งคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถปรับอัตรากำไรให้อยู่ในระดับ 15%-17%

ในปี 2557 บริษัทได้ขายธุรกิจถั่วเหลืองและน้ำมันพืชที่ขาดทุนอย่างต่อเนื่องออกไป โดยบริษัทได้นำเงินที่ได้จากการการขายธุรกิจทั้งสิ้น 815 ล้านบาทไปใช้ชำระหนี้ของธุรกิจในส่วนนี้ทั้งหมด นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขายสินทรัพย์เข้ากองทุนทรัพย์ศรีไทยสมาร์ทสตอเรจ (SSTSS) มูลค่ารวม 818 ล้านบาทด้วย บริษัทได้ลงทุนในกองทุนดังกล่าวในสัดส่วน 15% เป็นจำนวนเงิน 123 ล้านบาท โดยบริษัทได้รับเงินสดจากธุรกรรมนี้ทั้งสิ้น 611 ล้านบาท

ในช่วงกลางปี 2557 บริษัทได้ซื้อหุ้นทั้งหมดของกลุ่ม Greyhound ผ่านทาง บริษัท มัดแมน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทด้วยมูลค่าเงินลงทุนรวม 1,854 ล้านบาท โดยบริษัทใช้เงินที่ได้รับจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน SSTSS ประมาณ 600 ล้านบาทและใช้เงินกู้อีกประมาณ 700 ล้านบาท ส่วนที่เหลือบริษัทชำระด้วยการออกหุ้นใหม่ของบริษัทมัดแมนมูลค่ารวม 588 ล้านบาท โดยบริษัทมัดแมนได้มีการเพิ่มทุนจำนวน 1,418 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนการลงทุนดังกล่าวและสำรองไว้ใช้เป็นทุนหมุนเวียนของบริษัทมัดแมนบางส่วน การเพิ่มทุนดังกล่าวส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทในบริษัทมัดแมนลดลงเหลือ 75% ในขณะที่กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของกลุ่ม Greyhound และบริษัทน้ำตาลขอนแก่นจะมีสัดส่วนการถือหุ้นที่ 16% และ 9% ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ในเดือนมีนาคม 2558 บริษัทได้ซื้อหุ้นในบริษัทมัดแมนจากผู้ถือหุ้นเดิมของกลุ่ม Greyhound จำนวน 5% ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทมัดแมน 80% ในขณะที่กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของกลุ่ม Greyhound และบริษัทน้ำตาลขอนแก่นจะมีสัดส่วนการถือหุ้นที่ 11% และ 9% ตามลำดับ

ภายหลังธุรกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมด บริษัทมีหนี้สินลดลงเล็กน้อยเป็น 1,907 ล้านบาทในปี 2557 จาก 2,161 ล้านบาทในปี 2556 บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นที่เข้มแข็งขึ้นจากการเพิ่มทุนของบริษัทเองและการเพิ่มขึ้นของส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย ส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทดีขึ้น โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทลดลงเหลือ 48.3% ในปี 2557 จาก 62.9% ในปี 2556 อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงในปี 2557 โดยบริษัทมี EBITDA อยู่ที่ 2.1 เท่าในปี 2557 เทียบกับ 3.7 เท่าในปี 2556 และมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 4.8% ในปี 2557 เทียบกับ 6.3% ในปี 2556 สภาพคล่องที่อ่อนตัวลงส่วนหนึ่งเป็นสาเหตุมาจากการมีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและการมีภาระค่าเช่าดำเนินงานจากการที่บริษัททำสัญญาเช่าระยะเวลา 10 ปีกับ SSTSS

ในระหว่างปี 2558-2560 ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานระหว่าง 280-420 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ปีละ 80-180 ล้านบาทและเพื่อสนับสนุนการลงทุนของบริษัท โดยบริษัทมีแผนการลงทุนปีละ 350-500 ล้านบาทเพื่อขยายธุรกิจอาหาร รวมทั้งเพื่อเพิ่มแบรนด์อาหารใหม่ ๆ ตามแผน เนื่องจากการลงทุนของบริษัทบางส่วนต้องอาศัยการก่อหนี้ ดังนั้น อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจึงคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนควรอยู่ในระดับไม่เกิน 50% ทริสเรทติ้งยังคาดหมายให้บริษัทมีสภาพคล่องที่ดีขึ้นจากระดับปัจจุบัน โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 17%-19% ในช่วงปี 2558-2560 และมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายไม่น้อยกว่า 3 เท่าในช่วงเดียวกัน

บริษัท ทรัพย์ศรีไทย จำกัด (มหาชน) (SST)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version