นายสุธนัย ประเสริฐสรรพ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า สถานการณ์ความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศในปี 2558 ยังต้องจับตาเรื่องการชำระเงินล่าช้าและการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ อันเป็นผลจากสถานการณ์เศรษฐกิจในตลาดต่างๆ ทั่วโลก แม้ว่าอัตราการล้มละลายของธุรกิจในปี 2558 คาดว่าจะลดลง แต่ปัญหาการชำระเงินล่าช้ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทั้งในเอเชีย อเมริกาเหนือ และยุโรป
รักษาการกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยต่อไปว่า ในไตรมาส 1 ปี 2558 ลูกค้าประกันการส่งออกของ EXIM BANK ประสบปัญหาผู้ซื้อชำระเงินล่าช้าเป็นจำนวนรายสูงขึ้นเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีการยื่นขอรับค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 9 ราย มูลค่ารวม 13.93 ล้านบาท โดยมีสาเหตุจากผู้ซื้อล้มละลาย 7 ราย คิดเป็นมูลค่า 10.12 ล้านบาท และผู้ซื้อไม่ชำระเงินค่าสินค้า 2 ราย คิดเป็นมูลค่า 3.81 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผู้ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ รองลงมาได้แก่ ผักผลไม้สดและกระป๋อง
นายสุธนัย กล่าวว่า EXIM BANK พร้อมให้บริการประกันการส่งออกแก่ผู้ส่งออกไทย เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้า อันเนื่องมาจากผู้ซื้อล้มละลาย ผู้ซื้อปฏิเสธการชำระเงิน ผู้ซื้อปฏิเสธการรับมอบสินค้า การควบคุมการโอนเงินและการห้ามนำเข้าสินค้าโดยรัฐบาลประเทศผู้ซื้อ สงคราม จลาจล และปฏิวัติ นอกจากนี้ ประกันการส่งออกยังช่วยให้ผู้ส่งออกไทยแข่งขันได้มากขึ้น เพราะสามารถให้เทอมการชำระเงินแก่ผู้ซื้อในต่างประเทศได้ผ่อนปรนขึ้นกว่าผู้ส่งออกรายอื่น ด้วยความมั่นใจว่าจะได้รับชำระเงินตามที่ตกลงกันไว้แน่นอน โดยผู้ส่งออกไทยสามารถติดต่อทำประกันการส่งออกได้หลายรูปแบบ รวมทั้งรับเงื่อนไขที่ผ่อนปรนขึ้นสำหรับผู้ส่งออก SMEs หรือบริการสินเชื่อพร้อมประกันการส่งออกที่เรียกว่า สินเชื่อ SMEs ส่งออกสบายใจ ซึ่งให้วงเงินอนุมัติสูงสุดถึง 6 เท่าของหลักประกัน
“ปัจจุบันโอกาสทางการค้าเปิดกว้างมากขึ้นในหลายตลาดทั่วโลก แต่โอกาสมาพร้อมกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจของตลาดเหล่านั้นที่จะทำให้ผู้ส่งออกไทยมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับชำระเงินจากการค้าขายตามปกติ ดังนั้น ผู้ส่งออกไทยจึงควรทำประกันการส่งออกทุกครั้งที่ส่งออก โดยให้ธนาคารเข้ามาทำหน้าที่รับความเสี่ยงดังกล่าว และเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้ทุ่มเทเวลาและทรัพยากรที่มีอยู่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการที่มีของตลาด เป็นการทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายธุรกิจได้อย่างมั่นใจ ทั้งการค้าขายกับผู้ซื้อรายเดิมและผู้ซื้อรายใหม่ในตลาดที่มีความต้องการซื้อสินค้าไทย” นายสุธนัย กล่าว