ดร.โด่ง กล่าว “ก่อนหน้านี้ ผมได้เช็ครายการทางอินเตอร์เน็ตแล้วเห็นตัวรายการของช่อง 8 มีแต่ภาพนิ่ง การรายงานข่าวของนักแสดงก็มีลักษณะเป็นภาพนิ่งหมด เราก็เลยสงสัย เพราะไม่มีใครแจ้งโดยตรงมา คงเพราะเห็นว่าเราทำงานอยู่ต่างประเทศ จากนั้นเราก็เลยสอบถามไปก็ได้ความว่า ทางทีมของช่องได้ขอบัตรสำหรับสื่อเพื่อจะเข้าไปทำข่าว 2 ครั้ง ครั้งแรกที่ขอเข้างานได้รับคำตอบว่าไม่สะดวก ทางหัวหน้าทีมข่าวของรายการจึงขอบัตรอีกครั้งเพื่ออยากจะเข้าไปทำข่าวจริงๆ เพราะมีหลายประเด็นที่ต้องตาม คือเราเข้าใจในธรรมชาติของคนที่ทำสื่อว่าไม่ต้องการตกข่าว ก็เลยอยากที่จะตามกระแสให้ได้ เลยมีการทวงถามกันอีกครั้ง แต่ก็มีการแจ้งกลับมาว่าไม่มีพื้นที่ แต่พอผมได้ดูภาพทั้งหมดแล้วก็ว่าสนามราชมังคลามันใหญ่มาก แล้วที่สำหรับคนสองคน ผมเลยรู้สึกตอบคำถามตัวเองหรือใครไม่ได้เลยว่ามันไม่มีที่สำหรับนักข่าวสองคนเลยหรอ? เพราะคนก็ไม่ได้เต็มสนาม ก็เลยรู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรที่ผิดปกติ เราเลยเช็คสื่ออื่นดู สื่ออื่นได้ภาพกันหมด เป็นเพราะเราช้าเองหรือเปล่า แต่เราก็ได้ทำไปตามขั้นตอนทุกอย่าง แต่สรุปแล้วมันก็ออกมาเป็นแบบนี้เลยรู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากล เพราะก่อนหน้านี้มันก็มีการบังไมค์มาแล้ว ทำให้มีผลกระทบอยู่เรื่อยๆ แล้วก็มีผลจากการสัมภาษณ์แบบนี้อยู่บ่อยๆ เราก็ยอมรับได้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของบุคคล นักแสดงอาจไม่สะดวกให้สัมภาษณ์กับช่องเรา ก็ไม่เป็นไร จริงๆมองว่าเป็นงานส่วนของสถานีเขา แต่การที่คุณออกอากาศหรือเรียกสื่อไปสุดท้ายคือคุณก็ต้องการ Plublic ถ้าออกสาธารณะผมมองในมุมนี้มากกว่า หลายคนก็บอกว่าเป็นงานของบ้านเขาก็เขาไม่ให้ไปก็ไม่ต้องไป แต่ผมมองว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดจริงๆว่าเราในฐานะที่เป็นสื่อมวลชน ถ้าเรามีความคิดกับสื่อมวลชนด้วยกันในมุมแบบนี้ ผมมองไม่เห็นว่าสิ่งที่เราจะเสนอกับมวลชนมันจะออกมาเป็นยังไง ในเมื่อแม้แต่สื่อมวลชนด้วยกันยังมีระบบความคิดแบบนี้ เลยนึกไม่ออกว่ามวลชนจะรออะไรจากพวกคุณ
มีบางช่องก็ไม่ได้เข้าไปทำข่าว
ผมว่าเป็นเรื่องของแต่ละคนแล้วกัน เราในฐานะสื่อมวลชนทุกคนมีสิทธิของตนเองและผมว่าในฐานะสื่อ เรื่องสิทธิเสรีภาพที่จะนำเสนอข่าว ผมว่าถ้าใครไม่เรียกร้อง นั่นก็เป็นสิทธิเสรีภาพของเขา แต่ในมุมขอผม ผมเป็นคนชัดเจนว่าอะไรที่เราเรียกร้องได้ในมุมของความถูกต้องเราก็จะทำ
ได้รับคำชี้แจงอะไรกลับมาบ้าง?
ไม่มีนะครับ เรื่องนี้ไม่มีกระแสใดๆเพราะผมไม่ได้ต้องการกระแส เราแค่ต้องการจะบอกว่ามันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น กับเรา แค่นั้นเอง เราไม่ได้ต้องการว่า ใครจะมาพูดว่าอะไร หรือว่าจะมาอธิบายเหตุผลอะไร ผมว่าเพราะเรื่องมันผ่านไปแล้ว มันสามารถพูดได้ทุกเรื่อง ถ้าจะเอาเหตุผลขึ้นมานะครับ เพียงแค่ในมุมเราไม่มีความจำเป็น
กลัวว่าจะเป็นปัญหายืดเยื้อหรือเปล่า?
ถามว่ามันยืดเยื้อไหม ในมุมของเรา ถ้านับจากครั้งแรก และครั้งนี้ก็มองว่าก็ไม่ได้ยืดเยื้อ เพราะเราก็ทำงานของเราต่อ แต่ในเมื่อมันมีผลกระทบมาเรื่อย เราก็ยอมรับได้ในระดับหนึ่ง แต่พอถึงจุดหนึ่งที่เรายอมรับไม่ได้ เราก็อยากจะปกป้องสิทธิ์ของตนเอง แค่นั้นเอง ถ้ายืดเยื้อยาวไหมผมบอกไม่ได้จริงๆจนกว่าทุกอย่างมันจะเท่าเทียมเป็นมาตรฐานเดียวกัน
เหตุการณ์นี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ได้มีการพูดคุยกันบ้างหรือยัง จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก?
คิดว่าคงไม่จำเป็น มองว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องของวิธีการทำงานของแต่ละช่อง อะไรที่รู้สึกว่ามันเกินไปเท่านั้นแหละที่เราจะออกมาพูดคุย แต่เรื่องพูดคุยระหว่างกันผมว่าไม่มีประโยชน์ เพราะมันไม่มีอะไรขนาดนั้น
ได้มีการติดต่อเพื่อขอโทษบ้างไหม?
คงไม่หรอกครับ ช่องใหญ่ขนาดนั้นคงไม่ เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น ผมว่าสุดท้ายมันก็จะหายไป เราก็ทำงานของเราต่อบนความเข้าใจในแบบที่เราเข้าใจ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเราก็ทำงานต่อไป
กลัวว่าทางรายการจะมีปัญหาหรือเปล่า เพราะดาราทางช่องนั้นก็เยอะ?
ตั้งแต่วันนั้นมามันก็มีปัญหามาตลอดอยู่แล้วถ้าพูดตรงๆ ซึ่งเราก็ไม่ได้พูดกับสื่อ เพียงแต่ว่ามันก็เป็นจุดที่เราบอกแล้วว่ายอมรับกับเรื่องแบบนี้ได้ เพราะมันเป็นสิทธิส่วนบุคคลจริงๆซึ่งเราไม่ล่วงล้ำอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าครั้งนี้มันเลยขอบของคำว่าสิทธิเสรีภาพไปนิดนึงแค่นั้นเอง
หลังจากที่พี่โด่งออกมาโพสต์ และมีดาราจากช่องนั้นออกมาแสดงความคิดเห็นกลับ รู้สึกอย่างไร?
คือกรณีนี้ผมว่า ประเด็นแรกเรื่องของคำพูด ผมว่าแรงไหม ก็ดูแรงนะ เพราะผมถือว่าในฐานะที่น้องก็เคยร่วมงานกับทางช่อง 8 ถึงเราจะไม่ใช่คนให้กำเนิด แต่เราก็เคยเลี้ยงดูกันมา ผมว่าเวลาแม่ครัวทำกับข้าวให้กินในกองถ่าย ถ้าผมกินเสร็จแล้วเจอเขาก็ยกมือไหว้ ผมรู้สึกว่ามันเป็นบุญคุณ ถึงแม้จะจานเดียวก็เหอะ มองว่าเราไหว้แม่เราไหว้พ่อเรา แต่เราก็ไหว้แม่ครัวได้ เรื่องความสัมพันธ์อะไรแบบนี้ ผมว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เราทุกคนต้องตระหนักอยู่แล้ว แล้วเรื่องจะแรง ไม่แรง มันอยู่ที่แต่ละบุคคลของคนอ่าน ถ้าคนอ่านมีเรื่องบางอย่างในใจพออ่านก็จะรู้สึก แต่ถ้าคนอ่านทั่วไปก็อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้ และหลายคนก็ถามว่า ความจริงมันคืออะไร ก็อธิบายว่า คือดูที่โพสต์ สิ่งที่ผมโพสต์ผมว่ามันคือความจริง เพราะมันยังอยู่ ในโซเชียล ผมเชื่อว่าผมพูดความจริง แต่ส่วนอื่น ถ้ามันไม่ได้อยู่ในโซเชียลในวันนี้ ผมว่ามันอธิบายตัวเองได้ว่ามันไม่ใช่ความจริง มันถึงต้องหายไปจากสังคม ผมว่าสุดท้ายสังคมจะตัดสินเองว่าอะไรจริง ไม่จริง
เรามีปัญหากับอีกช่องค่อนข้างเยอะ จะทำอย่างไรต่อ จะแบนไปเลยไหม?
เรื่องแบนไปเลยไหมผมว่า สุดท้ายถ้าผมทำแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่ผมโดนกระทำ ในเมื่อเราพยายามปกป้องสิทธิเสรีภาพของตนเองเราก็ไม่ควรจะทำลายสิทธิเสรีภาพของคนอื่น และนั่นเป็นสิ่งที่เราไม่ทำอยู่แล้ว เราก็พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และให้โอกาสทุกคน ผมว่าดาราไม่ว่าคุณจะอยู่ค่ายไหน นั่นคุณยอมรับการเป็นสาธารณะของคนอื่นแล้ว เพราะฉะนั้นคนอื่นก็มีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องของคุณได้ ดาราสังกัดช่อง 8 นักร้องสังกัดอาร์เอส ทุกคนก็ให้สัมภาษณ์กับทุกช่องได้ปกติ เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่คุณจะต้องอธิบายต่อสังคมไม่ว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่
คิดว่ามันจะจบอย่างไร หรือว่าต่างคนต่างทำงานไป?
ถามว่าจะจบอย่างไร ผมว่ามันจะจบอย่างนี้ละครับ มันก็จะจบคลุมเครือแบบนี้ไป แล้วต่างคนก็ต่างทำงานไป จนกว่ามันจะมี เรื่องดีๆเข้ามา เราก็อาจจะ ปรองดองแล้วก็ดีต่อกัน ถ้ามันมีเรื่องไม่ดีกลับมาอีก ผมก็คิดว่า สังคมก็จะเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่ามันมีเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลในวงการสื่อสารมวลชนอีกครั้งครับ