บลจ.เมย์แบงก์ ปลื้มได้รับรางวัลสุดยอดกองทุนอีทีเอฟน้องใหม่รายแรกของเอเชีย

ศุกร์ ๐๘ พฤษภาคม ๒๐๑๕ ๑๑:๐๘
บลจ.เมย์แบงก์ เผยได้รับรางวัลนิวอีทีเอฟโปรดักส์จากนิตยสารชั้นนำของเอเชีย หลังคลอดกองทุนอีทีเอฟต่างประเทศ 4 กองทุนเมื่อปลายปีที่ผ่านมาจนประสบความสำเร็จ แถมเป็นรายแรกของกองทุนไทยที่เสนอขายกองทุนลักษณะดังกล่าว แย้มเพียง 5 เดือนผลงานอีทีเอฟ 4 กองสุดโดดเด่น โดยเฉพาะกองทุนอีทีเอฟญี่ปุ่น MJP สร้างผลตอบแทนเกือบ 12.5% พร้อมมองช่วงสั้นหุ้นไทยสุดผันผวน หลัง ศก.ส่งสัญญาณชะลอตัว แนะกระจายการลงทุนไป ตปท.

ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้รับรางวัล Best New ETF Product จากนิตยสาร Asia Asset Management ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจจัดการกองทุนและกองทุนบำเหน็จบำนาญในภูมิภาคเอเชีย โดยมอบรางวัลให้กองทุน ETF ที่ลงทุนในต่างประเทศ 4 กองทุนประกอบด้วย กองทุนเปิดเมย์แบงก์ ยูเอส อีทีเอฟ (Maybank US ETF: MUS) กองทุนเปิดเมย์แบง์ ยูโร อีทีเอฟ (Maybank EURO ETF: MEU) กองทุนเปิดเมย์แบงก์ เจแปน อีทีเอฟ (Maybank Japan ETF: MJP) และกองทุนเปิดเมย์แบงก์ อีเมอร์จิ้ง อีทีเอฟ (Maybank Emerging ETF: MEM) ที่เสนอขายเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เป็น Best New ETF ของเอเชีย เพราะเป็นรายแรกที่นำอีทีเอฟที่มีความแตกต่างจากกองทุนอื่นๆ เป็นกองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่อยู่ต่าง Time Zone มาเสนอขายในประเทศไทยและเสนอขายพร้อมกัน 4 กองทุน

“ผมรู้สึกยินดีที่ได้รับเกียรติจากนิตยสารระดับภูมิภาค ที่เห็นความสำคัญและความพยายามของ บลจ.เมย์แบงก์ ในการนำนวัตกรรมใหม่เข้ามาสู่ตลาดทุนของเอเชีย ซึ่งรางวัลนี้เกิดจากการยอมรับ และเห็นถึงความแปลกใหม่ของผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่บริษัทนำเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทย ถือเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยทั่วไปเข้าถึงหุ้นต่างประเทศได้ง่ายขึ้น”ดร.ตรีพลกล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนอีทีเอฟต่างประเทศทั้ง 4 กองในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนธันวาคม 2557 พบว่า ผลตอบแทนโดยรวมของกองทุนอีทีเอฟ อยู่ในระดับที่น่าพอใจและเป็นไปตามที่คาด ซึ่งกองทุนที่มีผลตอบแทนดีที่สุด ได้แก่ กอง MJP ได้ผลตอบแทน 12.47% รองลงมาเป็นกอง MEM ได้ผลตอบแทน 6.95% กอง MEU ได้ผลตอบแทน 4.91% และสุดท้ายเป็นกอง MUS ซึ่งได้ผลตอบแทน -1.77% ซึ่งเป็นกองทุนเดียวที่ให้ผลตอบแทนเป็นลบ สาเหตุเนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวน เนื่องจาก ตลาดผิดหวังจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่โตช้ากว่าที่คาด แต่คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ อีทีเอฟทุกกองรวมถึงกอง MUS จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกให้แก่นักลงทุนได้

ดร.ตรีพล กล่าวว่า ในปีนี้ยังคงเป็นปีที่ดีของสินทรัพย์ประเภทตราสารทุนหรือหุ้นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น หรือ ตลาดเกิดใหม่ยังน่าสนใจลงทุน โดยตลาดที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในปีนี้คือ ตลาดเกิดใหม่ เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ธนาคารกลางในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ได้ใช้นโยบายลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง รวมทั้งราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำจะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศนี้ รองลงมาได้แก่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น แม้

ภาวะเงินฝืดในประเทศญี่ปุ่นยังเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วงอยู่และอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง แต่อัตราค่าแรงในญี่ปุ่นที่สูงขึ้นเป็นตัวบ่งบอกถึงสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจและตลาดญี่ปุ่นเอง

ตลาดหุ้นถัดมาที่น่าสนใจ ได้แก่ ตลาดในกลุ่มประเทศยุโรป เพราะนโยบาย QE จะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจให้ฟื้นตัวขึ้น จะเป็นการขับเคลื่อนความต้องการของนักลงทุนในการเข้าไปลงทุนในยุโรป ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดยุโรปเติบโตควบคู่กันไป ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นแม้เวลานี้พีอีตลาดจะค่อนข้างสูงถึง 19 เท่า แต่การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และสภาพคล่องที่สูงในตลาดทุนทั่วโลกเป็นปัจจัยที่ดีที่จะช่วยพยุงตลาดหากเกิดการเทขายในปริมาณมากในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งนักลงทุนที่สนใจลงทุนต่างประเทศสามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนอีทีเอฟของ บลจ.เมย์แบงก์ทั้ง 4 กองได้

อย่างไรก็ดี หากมองกลับมาที่ตลาดหุ้นไทยคาดว่า ไตรมาสนี้จะผันผวนเหมือนไตรมาสแรกจากผลของราคาน้ำมันเป็นหลัก ปัจจัยภายในประเทศต้อง ติดตามความเคลื่อนไหวของตัวเลขเศรษฐกิจหลายๆ ตัว เพราะเริ่มบ่งชี้สัญญาณการถดถอย ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย มองว่าน่าที่จะคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับ 1.5 ไปอีก นอกจากนี้ ยังคงต้องจับตามองการใช้จ่ายของรัฐบาล ซึ่งจะมีผลกระทบมากต่อผลประกอบการและบรรยากาศในตลาดทุน ดังนั้น นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน

ดร.ตรีพล กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทมีแผนจะเสนอขายกองทุน Global Absolute Return ซึ่งล่าสุดสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) อนุมัติไฟลิ่งเรียบร้อยแล้ว โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ด้วยความผันผวนของผลตอบแทนอยู่ในระดับใกล้เคียงกับตราสารหนี้โลก กองทุนมีเป้าหมายบริหารความเสี่ยงให้อยู่ภายใน 1/3 ของ Global Equity แต่ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย รวมถึงหุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลก เพื่อที่จะหาผลตอบแทนในแต่ละจังหวะของการลงทุนที่ผ่านมา 8 ปี กองทุนหลักได้ผลตอบแทนมากกว่า 7.7% ต่อปี และมีความผันผวนเฉลี่ย 5.5% นอกจากนี้ยังมีแผนจะเสนอขายกองทุนหุ้นไทยที่มีสไตล์ที่โดดเด่น และชัดเจน ที่เน้นหุ้นที่คาดว่าจะมีผลประกอบการโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอและอยู่ในราคาที่เหมาะสม และในช่วงครึ่งหลังของปีก็เตรียมจะออกกองทุนหุ้นโลก และกองทุน High Yield และ RMF อีกด้วย

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO