เกาะติดผลกระทบเศรษฐกิจการเกษตร กรณีขอความร่วมมือลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง

พุธ ๑๓ พฤษภาคม ๒๐๑๕ ๑๐:๒๙
ผศ.ดร.กัมปนาท เพ็ญสุภา รองคณบดีฝ่ายวิจัย ผอ.ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ (มก.) พร้อมด้วยดร.ภูมิศักดิ์ ราศรี ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยร่วมกันว่า จากสถานการณ์ภัยแล้งซึ่งเป็นภัยธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะนำความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งทางด้านการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเกษตรที่ต้องพึ่งพาแหล่งน้ำ ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยประสบกับปัญหาภัยแล้งมาโดยตลอด โดยข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่าปริมาณน้ำฝนสะสมปี 2557 ต่ำกว่าค่าปกติอย่างมาก เมื่อเทียบกับปี 2556ประกอบกับกรมชลประทานได้สรุปสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ และขนาดกลางปี 2557 น้อยกว่าปี 2556 ถึง 5,310 ล้านลูกบาศก์เมตร

ปัญหาดังกล่าว จึงนำมาสู่มาตรการ“งดส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปีต่อเนื่องและข้าวนาปรังในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและแม่กลอง เนื่องจากพบว่าน้ำต้นทุนในปีนี้อยู่ในเกณฑ์น้อย ไม่เพียงพอสนับสนุนพื้นที่เพาะปลูกในช่วงฤดูแล้ง โดยเฉพาะพื้นที่ทำนาปรังที่ใช้น้ำจำนวนมาก และเพื่อเป็นการลดความเสียหายที่เกิดขึ้น รัฐบาลจึงได้มีมาตรการในการวางแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2557/2558 โดยมีการวางแผนการเพาะปลูกข้าวนาปรังในปี 2557/58 ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาลุ่มน้ำแม่กลองที่จำนวน 2.03 และ 0.04 ล้านไร่ ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม จากการเพาะปลูกข้าวนาปรังจริงในปีการเพาะปลูก 2557/58 พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำแม่กลอง มีจำนวน 6.20 และ 0.14 ล้านไร่ ตามลำดับ (ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตร,2558)

ในเรื่องดังกล่าว หลังจากรัฐบาลได้ประกาศแผนการเพาะปลูกในปี 2557/58 และงดส่งน้ำเพื่อใช้ในการทำนาปรังในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง รวม 26 จังหวัด ทำให้เกษตรกรในหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ รัฐบาลจึงมีมาตรการช่วยเหลือ2 มาตรการ ดังนี้

มาตรการหลักของโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี2557/2558

ซึ่งเป็นการจ้างแรงงานโดยมีเป้าหมาย 44,388 รายแยกเป็น1) ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป้าหมาย 35,337 ราย และ 2) ลุ่มน้ำ แม่กลอง เป้าหมาย 9,051 ราย และในส่วนของ มาตรการเสริม จะประกอบด้วยกิจกรรมฝึกอาชีพกิจกรรมสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชตระกูลถั่วกิจกรรมการส่งเสริมอาชีพด้านปศุสัตว์กิจกรรมการส่งเสริมอาชีพด้านประมง กิจกรรมการฝึกอาชีพ ด้านการเกษตรและด้านอื่นๆ(กศน.) และกิจกรรมการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด

ผลกระทบมหภาคจากการลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง

จากแผนการเพาะปลูกข้าวนาปรังในประเทศไทย ปีการเพาะปลูก 2556/57 กำหนดเป้าหมายการเพาะปลูกข้าวนาปรังจำนวน 10.82 ล้านไร่ แต่พบว่ามีการปลูกข้าวนาปรังทั้งสิ้น 15.92 ล้านไร่ ซึ่งได้รับผลผลิตจำนวน 9.55 ล้านตัน โดยรัฐบาลต้องจ่ายเงินอุดหนุนตามนโยบายรับจำนำข้าวทั้งหมด 143,280 ล้านบาท และในปีการเพาะปลูก 2557/58 รัฐบาลได้จำกัดพื้นที่การเพาะปลูกข้าวนาปรังให้เหลือ 6 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิตที่จะได้ประมาณ 3.6 ล้านตัน ทั้งนี้ หากมีนโยบายรับจำนำข้าว รัฐจะต้องจ่ายเงินอุดหนุนจำนวน 54,000 ล้านบาท ผลจากการลดพื้นที่การปลูกดังกล่าวทำให้รัฐบาลสามารถประหยัดงบประมาณดังกล่าวได้ จำนวน 89,280 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาเฉพาะเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง ในปีการเพาะปลูก 2557/58 พบว่า เกษตรกรทำนาปรังทั้งสิ้น 6.34 ล้านไร่ ซึ่งเกินกว่าแผนที่วางไว้ 2.07 ล้านไร่ คิดเป็นผลผลิตส่วนเกินจากแผนที่ตั้งไว้จำนวน 3.8 ล้านตัน ทั้งนี้หากรัฐบาลยังดำเนินนโยบายรับจำนวนข้าวจะทำให้รัฐบาลต้องจ่ายเงินอุดหนุนเพิ่มจำนวน 57,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ การที่เกษตรกรยังคงปลูกข้าวนาปรังในปีการเพาะปลูก 2557/58 ทั้งที่รัฐประกาศมาตรการงดการส่งน้ำส่งผลให้เกษตรกรได้รับผลผลิตเพียงร้อยละ 37.13 เทียบกับผลผลิตในปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็นมูลค่าความสูญเสียจากการลงทุนของเกษตรกรเป็นเม็ดเงินจำนวน 22,625.9 ล้านบาท

สำหรับผลกระทบจากกรณีขอความร่วมมือลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร ได้วิเคราะห์ผ่านแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ โดยพบว่า รายได้เฉลี่ยจากการทำนาปรังลดลงครัวเรือนละ 70,268 บาท จะทำให้รายได้จากการทำนาปรังของครัวเรือนเกษตรทั้งลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลองลดลงรวม 27,462 ล้านบาท และจะทำให้การบริโภคของครัวเรือนเกษตรลดลง 25,631 ล้านบาท (ภายใต้ข้อสมมติความโน้มเอียงในการใช้จ่ายหน่วยสุดท้าย (Marginal propensity to spend)= 0.9333 จากการลงพื้นที่ภาคสนาม) ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ลดลงเป็นมูลค่าโดยรวม 58,539 ล้านบาท แต่หากเกษตรกรได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลในโครงการ 1 ตำบล 1 ล้านบาท จำนวน 3,052 ล้านบาท การจ้างงานในพื้นที่ 2 ลุ่มน้ำ จำนวน 399.5 ล้านบาท และการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชที่แจก จำนวน 222.5 ล้านบาท รวมเป็นเงินช่วยเหลือทั้งสิ้น 3,674 ล้านบาท จะทำให้รายได้จากการทำนาปรังสุทธิลดลง 23,788 ล้านบาท และการบริโภคของครัวเรือนลดลงเท่ากับ 22,202 ล้านบาท และจะส่งผลให้ GDP ลดลง 50,707 ล้านบาท

ผลกระทบจากการลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังที่มีต่อครัวเรือนเกษตรกร

ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนภาพในสถานการณ์จริงในระดับครัวเรือน ศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร ได้ทำการสำรวจภาคสนามในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และลุ่มน้ำแม่กลอง โดยทำการสัมภาษณ์เกษตรกร จำนวน 281 ราย ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สิงห์บุรี และนครปฐม โดยเก็บข้อมูลเกษตรกรจำนวน 43, 62, 130 และ 46 ราย ตามลำดับ

ผลการสำรวจพบว่า เกษตรกรทั้ง 4 จังหวัด มีพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด 8,725 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่นาปรัง 7,644 ไร่ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 87.61 ของพื้นที่เพาะปลูก ส่วนใหญ่เกษตรกรที่สัมภาษณ์มีที่ดินเป็นของตนเอง คิดเป็นร้อยละ 37.7 ของเกษตรกรที่สัมภาษณ์ ส่วนเกษตรกรที่เช่าที่ดิน มีค่าเช่าที่ดินเฉลี่ยไร่ละ 618 บาท

จากกรณีขอความร่วมมือลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ผลการสำรวจพบว่า เกษตรกรร้อยละ 69 งดการปลูกนาปรังทั้งหมด โดยร้อยละ 8 งดทำนาปรังบางส่วน และร้อยละ 23 ยังคงทำนาปรังในปริมาณเท่าเดิม โดยเกษตรกรที่งดทำนาปรังทั้งหมดให้เหตุผลว่าปริมาณน้ำในการเพาะปลูกไม่เพียงพอ อันจะก่อให้เกิดผลเสียจากการปลูกนาปรัง ในขณะที่เกษตรกรที่ยังคงทำนาปรังคาดการณ์ว่าจะได้รับน้ำจากชลประทานและพึ่งพาน้ำฝน

ในด้านความช่วยเหลือของภาครัฐ พบว่า มีเกษตรกรเพียงร้อยละ 23.13 ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ ในจำนวนนี้ แบ่งเป็น การสนับสนุนด้านเมล็ดพันธุ์พืช ร้อยละ 38.46 ด้านโครงการ 1 ล้านบาท 1 ตำบล คิดเป็นร้อยละ 36.92 การจ้างงานคิดเป็นร้อยละ 12.31 และอื่น ๆ (ด้านปศุสัตว์ แหล่งน้ำ ฝึกอาชีพ) คิดเป็นร้อยละ 12.31 อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ที่ทำการศึกษา พบว่า การขาดแคลนน้ำทำให้การสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

ควรจัดสรรความช่วยเหลือควรครอบคลุมกับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด และประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรเห็นถึงต้นทุนที่สูญเสียไปจากการปลูกข้าวนาปรังในช่วงภัยแล้งรวมทั้งการสร้างอาชีพนอกภาคการเกษตรที่ยั่งยืนเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ในช่วงฤดูแล้ง ตลอดจนมีการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ