ในการไต่สวนข้อเท็จจริงคณะอนุกรรมการไต่สวนพบว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขณะเป็นรองนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่กำกับการปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ในขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสนอเรื่องดังกล่าวให้พิจารณา ทราบอยู่แล้วว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องไปดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างเป็นรายภาค ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เสนอและคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้แล้ว หรือหากสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องการเปลี่ยนแปลงวิธีการก่อสร้างก็ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติก่อน ดังเช่นที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เคยปฏิบัติมาแล้ว เมื่อคราวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีบันทึกข้อความ ที่ 0009.6/8096 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 ขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้างจากรูปแบบการลงทุนภาครัฐ โดยวิธีการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ โดยให้บริษัท ธนารักษ์ พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินการ เป็นดำเนินการในรูปแบบการลงทุนภาครัฐ โดยวิธีจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการโครงการผูกพัน 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552 – 2554 แต่ท่านกลับลงนามอนุมัติ ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2552 ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้าง โดยห้ามรื้อถอนอาคารเดิม เพื่อเก็บไว้ใช้ประโยชน์ต่อไป โดยไม่เสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้าง จนกระทั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ไปดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างที่ส่วนกลาง โดยมีผู้รับจ้างเพียงรายเดียวก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 โรงพัก ทั่วประเทศ เป็นให้การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จก่อให้เกิดความเสียหายต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติและทางราชการอย่างร้ายแรง
คณะอนุกรรมการไต่สวน จึงมีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาว่า เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติและทางราชการอย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157