นางสาวอัญชลี สืบจันทศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ LST เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2558 สิ้นสุด 31 มีนาคม 2558 ว่า มีกำไรสุทธิ 66.48 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.08 บาท เพิ่มขึ้น 49.49 ล้านบาทจากช่วงเดียวกับปีก่อนมีกำไรสุทธิ 16.99 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.02 บาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นสูงถึง 291.24%
โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 61.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกับปีก่อน2.97% ขณะที่รายได้จากการขายในส่วนของบริษัทฯ ลดลง 133.23 ล้านบาท คิดเป็น 7.33% เนื่องจากปริมาณขายลดลง9.1% ในขณะที่ราคาขายถัวเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้น 1.95%
ในส่วนรายได้จากการขายของบริษัทย่อย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกับปีก่อน 194.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.56%โดยมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ปาล์มอื่นๆ เพิ่มขึ้น 137.09 ล้านบาท รายได้จากการจำหน่ายเครื่องดื่มและน้ำผลไม้เพิ่มขึ้น 74.21 ล้านบาท และผักผลไม้แช่แข็งลดลง 18.07 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้อื่นที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานตามปกติจำนวน 23.29 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.07% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 8.86 ล้านบาท คิดเป็น 61.41% เนื่องจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์พลอยได้
ด้านต้นทุนขายของบริษัทฯ และบริษัทย่อยคิดเป็น 87.03% ของรายได้จากการขาย ขณะที่ต้นทุนขายในส่วนของบริษัทฯ ลดลงเป็น 90.27% เนื่องมาจากราคาน้ำมันปาล์มดิบปรับตัวลดลง 4.97% ขณะที่บริษัทย่อยที่มีธุรกิจสวนปาล์ม (UPOIC) มีอัตราส่วนต้นทุนขาย 102.7% ของรายได้รวมจากการขาย เพิ่มขึ้น 30.3% โดยมีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนผลปาล์มสดจากสวนของบริษัทที่เพิ่มขึ้นถึง 106.4% มีผลให้ต้นทุนปาล์มสดและต้นทุนการสกัดน้ำมันปาล์มดิบต่อหน่วยเพิ่มขึ้น ส่วนบริษัทย่อย (UFC) มีอัตราส่วน ต้น ทุนขาย 72.86% ของรายได้รวมจากการขาย
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 12.97% จากช่วงเดียวกับปีก่อนอยู่ที่ 10.85% โดยกำไรขั้นต้นในส่วนของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 65.99 ล้านบาท เนื่องจากสาเหตุข้างต้น และแม้ว่ากำไรขั้นต้นในส่วนของบริษัทย่อย UPOIC จะลดลงก็ตาม แต่กำไรขั้นต้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อย เพิ่มขึ้น 52.19 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23.04%
“บริษัทฯ มีรายได้จากการขายลดลง 7.33% จากช่วงเดียวกับปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายลดลง 9.1% ในขณะที่ราคาถัวเฉลี่ยต่อหน่วยของบริษัทฯ ปรับตัวขึ้นเพียง 1.95% และในส่วนต้นทุนขายนั้น ราคาน้ำมันปาล์มดิบปรับตัวลดลง 4.97% จึงส่งผลให้กำไรขั้นต้นสำหรับงวดไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น 65.99 ล้านบาท และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 57.95 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 451.39%” นางสาว อัญชลี กล่าว
นางสาวอัญชลีกล่าวต่อว่า เมื่อประเมินสถานการณ์ปาล์มในประเทศไทยพบว่าปรับตัวดีขึ้น ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตปาล์มน้ำมันเริ่มออกสู่ตลาดมากขึ้น ส่งผลให้ราคาผลปาล์มปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วจากกิโลกรัมละ 6 บาทกว่าในช่วงเดือนมกราคม-ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2558 เหลือต่ำกว่ากิโลกรัมละ 5 บาทในเดือนมีนาคม 2558 ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบปรับลดลงจากกิโลกรัมละ 37 บาท เหลือกิโลกรัมละ 26-27 บาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 ส่งผลให้ต้นทุนผลปาล์มสดลดลง ทั้งนี้คาดว่าราคาปาล์มจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในไตรมาส 2 ของปีนี้ และคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2558 ของ LST จะปรับตัวดี ขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส1/2558