นายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในช่วงที่ผ่านมาเราได้มีการพูดคุยกับนักลงทุนที่สนใจจะร่วมลงทุนในบริษัทมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทได้ให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นที่มีมุมมองวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถต่อยอดในการขยายธุรกิจเพื่อความเติบโตของบริษัทได้ รวมทั้งให้ความสำคัญในการบริหารงานแบบมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี การเข้ามาถือหุ้นในครั้งนี้ของกลุ่มนิติพล บริษัทฯเชื่อมั่นว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะช่วยส่งเสริมธุรกิจซึ่งกันและกัน ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะมีธุรกรรมที่สามารถดำเนินการร่วมกันได้อีกมาก โดยเฉพาะธุรกรรมด้านงานวาณิชธนกิจ”
นายภควัต กล่าวเสริมว่า “ปี 2557 ที่ผ่านมา บริษัทมีผลการดำเนินงานดีมีกำไรเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเกือบร้อยละ 40 ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายในการสร้างรายได้จากหลากหลายธุรกิจที่บริษัทมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ธุรกิจวาณิชธนกิจ ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล ธุรกิจตราสารหนี้ และธุรกิจการลงทุน นอกจากนี้ บริษัทฯ มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอในอัตราที่สูงกว่านโยบายมาโดยตลอด โดยในปีล่าสุดมีการจ่ายเงินปันผลรวมหุ้นปันผลคิดเป็นอัตราสูงถึง 13.5% สูงกว่าอัตราเงินปันผลเฉลี่ยของกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ (FIN) และของ SET Index ที่ระดับ 3.9% และ 3.1% ตามลำดับ ทั้งนี้บริษัทติดอันดับ 1 ใน 10 ของบริษัทจดทะเบียนที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (จากผลประกอบการ 2555 – 2557) และมีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงกว่าอัตราเงินปันผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ (3%)”
การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ในครั้งนี้ ทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) เปลี่ยนไป ดังนี้ นายแพทย์นิติพล ชัยสกุลชัย สัดส่วน 19.44% บริษัท คอม-ลิงค์ จำกัด สัดส่วน 14.19% กลุ่มโกวิทวัฒนพงศ์ สัดส่วน 4.83% ผู้ถือหุ้นทั่วไป61.54%
นายแพทย์นิติพล ชัยสกุลชัย เป็นผู้ก่อตั้งนิติพลคลินิก ปัจจุบันดำเนินธุรกิจด้านคลินิกความงามมามากกว่า 20 ปี มีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความชำนาญด้านการดูแลรักษาและมีนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัย และเป็นผู้นำด้านการ ประกอบธุรกิจคลินิกความงามที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทยถึง 157 สาขา (ณ ปี 2557) และกำลังขยายธุรกิจไปสู่ตลาดต่างประเทศ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสอดคล้องกับการขยายธุรกิจเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในอนาคต