กรุงเทพฯ--17 พ.ย.--ส.อ.ท.
นายเกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าจากการที่ระยะเวลาผ่อนผันการบรรทุกน้ำหนัก 26 ตัน สำหรับรถบรรทุก 10 ล้อ 3 เพลา จะสิ้นสุดการบังคับใช้ในวันที่ 31 ธันวาคม 2548 นี้ คณะกรรมการพิจารณาผลกระทบและกำหนดพิกัดสำหรับรถบรรทุก สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม จึงได้มีข้อสรุปเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2548 ที่ผ่านมา โดยบทสรุปที่เตรียมประกาศน้ำหนักรถบรรทุกประเภทต่างๆ ได้แก่ รถ 4 ล้อ 2 เพลา น้ำหนักบรรทุกรวม 9.5 ตัน รถ 6 ล้อ 2 เพลา น้ำหนักบรรทุกรวม 15 ตัน รถ 10 ล้อ 3 เพลา น้ำหนักบรรทุกรวม 25 ตัน รถ 12 ล้อ 4 เพลา น้ำหนักบรรทุกรวม 30 ตัน รถกึ่งพ่วง 18 ล้อ 5 เพลา น้ำหนักบรรทุกรวม 45 ตัน รถกึ่งพ่วง 22 ล้อ 6 เพลาน้ำหนักบรรทุกรวม 50.5 ตัน รถพ่วง 18 ล้อ 5 เพลา น้ำหนักบรรทุกรวม 47 ตัน รถพ่วง 22 ล้อ 6 เพลา น้ำหนักบรรทุกรวม 53 ตัน (ให้กรมทางหลวงประกาศเป็นบทเฉพาะกาลเป็นระยะเวลา 1 ปี) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2549
สภาอุตสาหกรรมฯ ได้ตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ประกอบการหลังจากการประกาศใช้มาตรการดังกล่าว เนื่องจากจะส่งผลให้ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบจากภาระต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่บรรทุกสินค้าได้น้อยลง จึงจำเป็นต้องใช้จำนวนวิ่งเที่ยวรถมากขึ้น และทำให้ขาดแคลนรถบรรทุกสินค้าที่ใช้ในการขนส่งสินค้าส่งออกไปยังต่างประเทศบางส่วนจึงไม่สามารถทันตามคำสั่งซื้อและเงื่อนไขที่กำหนดและปริมาณสินค้าต่อตู้คอนเทนเนอร์มีจำนวนลดลง รวมถึงอาจมีผลกระทบต่อศักยภาพการแข่งขันกับต่างประเทศ เพราะไม่สามารถบรรจุสินค้าส่งออกได้ตามน้ำหนักตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ บทสรุปจากการประชุมดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนในหลายประเด็น ทั้งกำหนดวันที่เริ่มบังคับใช้, ระยะเวลาที่จะผ่อนผันให้แก่รถบรรทุกเก่าที่ใช้งานปัจจุบัน กว่า 700,000 คัน ปรับตัวตามน้ำหนักบรรทุกใหม่, เส้นทางที่จะอนุญาตให้รถบรรทุกวิ่งตามน้ำหนักบรรทุกใหม่, ความพร้อมของถนนและสะพานที่จะรองรับน้ำหนักใหม่ รวมถึงมาตรการในการกำกับดูแลและตรวจสอบผู้ฝ่าฝืนจากภาครัฐ ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะเป็นมาตรการสำคัญที่จะป้องกันมิให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม อันอาจนำไปสู่การขอเพิ่มน้ำหนักบรรทุกอีกครั้งในอนาคต สภาอุตสาหกรรมฯ จึงเห็นว่า ภาครัฐต้องเร่งสร้างความชัดเจนในประเด็นดังกล่าว เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถวางแนวทางปรับตัวให้สอดรับกับมาตรการดังกล่าวได้ทัน
และเพื่อให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ผู้ประกอบการขนส่งสินค้า และผู้ประกอบการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ทราบถึงแนวนโยบายการเปลี่ยนแปลงเรื่องการกำหนดพิกัดน้ำหนักรถบรรทุกใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2549 นี้ เพื่อนำไปใช้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจ และช่วยลดปัญหาการบรรทุกน้ำหนักเกินจากที่กฎหมายกำหนด ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างถนนและสะพานเป็นอย่างมาก สภาอุตสาหกรรมฯ จึงได้กำหนดจัดการสัมมนา "บทสรุปน้ำหนักรถบรรทุก ความสูง และพลังงานทางเลือกไทย" ขึ้น ในวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เพื่อเป็นเวทีในการชี้แจงแนวนโยบายและบทสรุปที่สำคัญของการกำหนดพิกัดน้ำหนักและความสูงของรถบรรทุกที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งของประเทศ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงคมนาคม โดยสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กรมทางหลวงแผ่นดิน และทางหลวงชนบท กรมการขนส่งทางบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และสมาคมขนส่ง สินค้า มาร่วมเป็นวิทยากรให้ความรู้ในเรื่องบทสรุปของมาตรการการกำหนดพิกัดน้ำหนักรถบรรทุกและความสูงของรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งได้มีการปรับความสูงเป็น 4.60 เมตร
ทั้งนี้ ในงานสัมมนาดังกล่าว สภาอุตสาหกรรมฯ ได้รับเกียรติจากนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานและร่วมรับฟังการสัมมนา เพื่อรับทราบความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการการกำหนดพิกัดน้ำหนักรถบรรทุกและความสูงของรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์จากผู้ประกอบการ และนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ให้เกียรติปาฐกถาพิเศษเรื่อง "วิสัยทัศน์การขนส่งของประเทศไทยในทศวรรษหน้า" นอกจากนี้ ยังมีการอภิปรายเรื่องแนวทางการเลือกใช้ก๊าซธรรมชาติเอ็นจีวีและไบโอดีเซลสำหรับยานยนต์ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงพลังงาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจาก จำกัด (มหาชน) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มาเป็นวิทยากรให้ความรู้ เพื่อเป็นทางเลือกในการลดต้นทุนค่าขนส่งสินค้าของผู้ประกอบการ ภายใต้สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
โทร. 0-2345-1012-3 โทรสาร 0-2345-1296-9--จบ--