นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รักษาการปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยมีระบบบริการสุขภาพที่ดีขึ้น แต่ในภาพรวมยังพบปัญหาสำคัญๆ เช่น ด้านการเข้าถึงคุณภาพบริการ ตลอดจนระบบบริการปฐมภูมิ ในทางปฏิบัติยังพบปัญหาต่างๆ เช่น ด้านบุคลากร จึงเป็นบทบาทของกระทรวงสาธารณสุขที่จะต้องประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว รวมถึงในครั้งนี้ที่ประเทศจะมียุทธศาสตร์ทศวรรษเพื่อการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิให้มีความก้าวหน้า จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการปฏิรูปอย่างเร่งด่วน
ด้าน นพ.พีรพล สุทธิวิเศษศักดิ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า นโยบายระบบสุขภาพที่ดีจะช่วยทำให้เกิดสมดุลระหว่างการดูแลสุขภาพตนเองของประชาชนกับการให้บริการภาครัฐ ปัจจุบันประเทศไม่สามารถผลิตบุคลากรได้ทันกับสถานการณ์ปัญหาสุขภาพและความต้องการที่เพิ่มขึ้น ประเด็นสำคัญคือต้องทำให้ประชาชนมีความสามารถในการดูแลตนเองให้ได้ และหนุนเสริมศักยภาพการดูแลตนเอง ครอบครัวและชุมชนได้อย่างแท้จริง
สอดคล้องกับผลการระดมความคิดเห็นในกลุ่มการวิจัยและสร้างความรู้เพื่อพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ ที่สะท้อนภาพระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ อันพึงประสงค์ไว้ว่า ต้องทำให้ประชาชนมีขีดความสามารถดูแลตนเอง และสามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการปฐมภูมิได้อย่างเหมาะสม ส่วนในระดับของหน่วยบริการฯ ต้องทำหน้าที่จัดบริการคุณภาพและให้ข้อมูลกับผู้รับบริการเพื่อตัดสินใจได้ ดังนั้นประเทศที่มีระบบบริการปฐมภูมิที่เข้มแข็ง สามารถสะท้อนได้จากศักยภาพในการดูแลตนเองของชุมชน และการจัดการสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพที่ดีของประชาชน
พญ.สุพัตรา ศรีวณิชชากร นายแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค และเลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน (มสพช.) ได้ให้ความเห็นถึงสิ่งที่คาดหวังในการจัดระบบใหม่ไว้ว่า ประเทศไทยต้องมีนโยบายสาธารณะที่เน้นบริการสุขภาพปฐมภูมิ จัดระบบบริหารจัดการและระบบบริการที่รองรับการบริการปฐมภูมิที่พึงประสงค์ โดยมีการเชื่อมโยงระบบบริการปฐมภูมิกับระบบสุขภาพชุมชน และระบบบริการทุติยภูมิ ตติยภูมิ ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อการเข้าถึงบริการแบบไร้รอยต่อและไร้พรมแดน อีกทั้งมีระบบการเงินการคลัง และระบบสนับสนุนอื่นๆ ในการจัดบริการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
อนึ่ง ประเทศไทยมีนโยบายและแผนการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิมาอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปี ส่งผลให้ประชาชนเข้าถึงระบบบริการสุขภาพเพิ่มขึ้น แต่ในด้านคุณภาพยังมีข้อจำกัดและพัฒนาไปได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากบุคลากรปฐมภูมิที่ยังไม่เพียงพอ ปัจจุบันหน่วยบริการปฐมภูมิในประเทศ มีจำนวนทั้งหมด 11,548 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นหน่วยในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ส่วนหน่วยบริการในสังกัดท้องถิ่น มีเพียง 199 แห่ง โดยหน่วยปฐมภูมิในชนบทมีจำนวนค่อนข้างเพียงพอ แต่ละแห่งสามารถดูแลประชากรได้เฉลี่ย 3-4 พันคน แต่ในส่วนเมืองและเขตอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะดูแลประชากรจำนวนมากกว่าที่ 10,000 คน ขณะที่ในพื้นที่เขต กทม. ดูแลประชากรเฉลี่ยสูงถึง 40,000 คน
ล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มมีนโยบายพัฒนาเครือข่ายสุขภาพอำเภอ และในปี 2557 ได้มีการพัฒนาทีมหมอครอบครัว นับเป็นนโยบายที่ส่งผลดีต่อการพัฒนาระบบปฐมภูมิ แต่การดำเนินการต่างๆ อยู่ในระยะเริ่มต้น จึงยังต้องการการพัฒนาประสิทธิภาพมากขึ้น