นายนิรันดร์ เชาว์กิตติโสภณ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โฮม พอตเทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HPT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบดินเผาประเภทไฟน์ไชน่า (Fine china) เพื่อใช้บนโต๊ะอาหาร สำหรับการใช้งานในโรงแรมหรือร้านอาหาร เปิดเผยว่า การเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอ ไอ (mai) เป็นวันแรกของ HPT จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเช่นเดียวกับช่วงการเสนอขายหุ้นไอพีโอ เนื่องจากบริษัทมีแผนขยายธุรกิจที่ชัดเจนทั้งในส่วนของการเพิ่มกำลังการผลิต การขยายตลาดกลุ่มลูกค้าใหม่ และการเพิ่มยอดคำสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้าเดิม
ทั้งนี้คาดว่าในปี 58 รายได้รวมของบริษัทจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนซึ่งมีรายได้รวมจากการขายอยู่ที่ 131.04 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการขยายกำลังการผลิตให้สามารถรองรับคำสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้าเดิมได้มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนขยายตลาดไปยังประเทศในกลุ่มอเมริกาใต้ อาหรับ และ AEC
"ในช่วงที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของ HPT มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง การระดมทุนในครั้งนี้จะทำให้เราเติบโตอย่างก้าวกระโดด สามารถเพิ่มอัตรากำลังการผลิตให้เพียงพอต่อคำสั่งซื้อของลูกค้า โดยเฉพาะในต่างประเทศที่มีแนวโน้มปรับตัวสูง ขณะเดียวกันบริษัทจะมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านต่างๆให้ดียิ่งขึ้น อาทิ ระบบการบริหารจัดการ การลดต้นทุน การเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ฯลฯ ซึ่งเรามั่นใจว่าการดำเนินงานดังกล่าวจะนำมาสู่การสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับบริษัทด้วยเช่นกัน"นายนิรันดร์กล่าว
นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า HPT เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบดินเผาประเภทไฟน์ไชน่า ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้รับการยอมรับในเรื่องของคุณภาพจากลูกค้าในต่างประเทศ ซึ่งธุรกิจของบริษัทมีแนวโน้มขยายตัวเป็นอย่างมากภายหลังจากการระดมทุนในครั้งนี้
โดยนอกจากจะสามารถรองรับออร์เดอร์จากลูกค้าใหม่และกลุ่มลูกค้าเดิมได้มากขึ้นแล้ว บริษัทจะมีความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มสูงขึ้นจากการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีในการผลิต การมีต้นทุนทางการเงินที่ลดต่ำลง ซึ่งไลน์การผลิตที่มีการปรับปรุงใหม่ของบริษัทจะเริ่มดำเนินการได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ และจะเริ่มมีการรับรู้รายได้ในทันที ขณะเดียวกันบริษัทได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอ โดยได้รับการยกเว้นภาษีเป็นระยะเวลา 8 ปี จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างเต็มที่ ซึ่งบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)ในฐานะผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า HPT จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในการซื้อขายวันแรกและในช่วงต่อจากนี้ เพราะเป็นหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน เนื่องจากธุรกิจของบริษัทมีแนวโน้มเติบโตสูงในช่วงต่อจากนี้ โดยภายหลังการระดมทุน กำลังการผลิตของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จาก 3 ล้านชิ้น/ปี เป็น 6 ล้านชิ้น/ปี ซึ่งจะส่งผลให้โอกาสในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ การขยายตลาด และการทำกำไร เติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยเช่นกัน
"HPT มีการเติบโตที่ดีมาโดยตลอดหากดูผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปีจะเห็นว่าบริษัทมีกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเปรียบเทียบราคากับการเติบโตของบริษัทในอนาคตแล้ว ถือเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่น่าสนใจลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากราคาไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงจนเกินไป นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนทั้งในส่วนของราคาหุ้นและเงินปันผล"นายวิชากล่าว