กรุงเทพฯ--27 มิ.ย.--วอเนอร์ บราเธอร์ส
ความฝันที่มีมาตลอดชีวิตของนักประดิษฐ์ นักบินอวกาศ และนักวิทยาศาสตร์ ดร.รี้ด ริชาร์ดส์ (โยอัน กริฟฟิดด์) ใกล้จะเป็นความจริงแล้ว เขากำลังจะนำทีมเดินทางสู่อวกาศ ไปยังศูนย์กลางของพายุคอสมิค ณ ที่แห่งนั้น เขาหวังที่จะไขความลับเรื่องรหัสพันธุกรรมของมนุษย์เพื่อประโยชน์สำหรับมวลมนุษยชาติ การตัดงบประมาณของรัฐบาลอย่างมหาศาลเกือบจะทำลายความหวังของการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ของผู้มองการณ์ไกล จนกระทั่งรี้ดยอมรับทุนจากคู่แข่งของเขาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย วิคเตอร์ วอน ดูม (จูเลี่ยน แม็คแมน) ซึ่งปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีพันล้านจากการทำอุตสาหกรรม
ลูกทีมของรี้ดสำหรับภารกิจนี้ประกอบไปด้วย เพื่อนรักของเขา นักบินอวกาศ เบน กริมม์ (ไมเคิล ชิคลิส) ซู สตอร์ม (เจสสิก้า อัลบ้า) ผู้อำนวยการของการวิจัยทางพันธุศาสตร์ของวอน ดูม และเป็นแฟนเก่าของรี้ด และน้องชายอารมณ์ร้อนของซู นักบินจอห์นนี่ สตอร์ม (คริส อีแวนส์) ด้วยความอุปถัมภ์ของวอน ดูม ทั้งสี่คนจึงได้ออกเดินทางสู่การสำรวจครั้งสำคัญของชีวิต
ภารกิจไม่น่าสนใจ จนกระทั่งรี้ดค้นพบการคำนวณความเร็วของพายุที่กำลังจะเข้ามาถึงผิดพลาด ภายในเวลาไม่กี่นาที พายุก็มาจ่อตรงหน้าพวกเขาแล้ว สถานีอวกาศถูกล้อมด้วยเมฆหมอกรุนแรงของรังสีคอสมิค ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมต่อลูกเรือทั้งหมด ดีเอ็นเอของพวกเขาถูกเปลี่ยนไปโดยที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้...เช่นเดียวกับอนาคตของพวกเขา เมื่อกลับมายังโลก ผลกระทบของการถูกสัมผัสด้วยรังสีถูกเปิดเผยออกมาอย่างรวดเร็ว รี้ดมีความสามารถในการยืดและบิดร่างกายของเขาให้เป็นรูปร่างใดๆ ที่เขาจินตนาการไว้ได้ และในฐานะผู้นำกลุ่ม เขาจึงได้รับการขนานนามว่า มิสเตอร์ แฟนตาสติค ซู สามารถล่องหนและสร้างสนามพลังอันทรงพลังได้จึงกลายเป็นมนุษย์ล่องหน จอห์นนี่กลายเป็นมนุษย์พระเพลิง เมื่อเขาล้อมตัวเองไว้ด้วยเปลวเพลิง และเหาะได้เมื่อต้องการ และเบน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงแสนประหลาดของเขาน่าตกใจที่สุด เขากลายเป็นมนุษย์หินตัวสีส้มที่แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ ชื่อว่า เดอะ ธิง
เมื่อรวมตัวกัน พวกเขาเปลี่ยนโศกนาฏกรรมให้กลายมาเป็นชัยชนะ และเปลี่ยนความหายนะให้กลายเป็นการร่วมแรงร่วมใจ โดยใช้พลังที่เป็นเอกลักษณ์และแกร่งเหนือใครของพวกเขาในการป้องกันแผนชั่วของ ดร. ดูม ซึ่งบัดนี้กลายเป็นคนมีดวงตาและหมัดเหล็ก และเพื่อปกป้องพลเมืองนิวยอร์คให้รอดพ้นจากการคุกคามใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น
นักบินอวกาศ ซูเปอร์ฮีโร่ คนดัง ในสายตาของชาวโลก พวกเขาคือ แฟนตาสติค โฟร์ ( สี่มนุษย์กายสิทธิ์) ในสายตาของกันและกัน พวกเขาคือครอบครัวเดียวกัน
แฟนตาสติค โฟร์ สร้างจากหนังสือการ์ตูนชุดที่มีอายุยาวนานที่สุดของมาร์เวล ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “การ์ตูนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” ขณะที่มีการนำการ์ตูนหลายเรื่องของมาร์เวลมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ก่อนหน้าแฟนตาสติก โฟร์ โดยเฉพาะเรื่องที่โด่งดังที่สุดคือ “เอ็กซ์เม็น” และ ”สไปเดอร์แมน” ด้วยเหตุผลที่ไร้ข้อโต้แย้ง แฟนตาสติค โฟร์ ต้องการพลังของสเปเชียลเอฟเฟกต์มากกว่าการ์ตูนที่นำมาทำเป็นภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ ถึงสี่เท่า อันที่จริง เอฟเฟกต์สุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างกว่าเรื่องอื่นๆ มากจนกระทั่งเทคโนโลยีที่ใช้ในการสร้างยังไม่เคยมีอยู่เลยเมื่อหนึ่งปีก่อน แต่สำหรับเอฟเฟกต์ล้ำยุคทั้งหมด สิ่งที่ทำให้แฟนตาสติค โฟร์ มีความพิเศษคืออารมณ์ขันและความรู้สึกรุนแรง ในที่สุดแล้วตัวละครของเรื่องนี้คือครอบครัวที่มีความผิดปกติของร่างกาย ซึ่งโด่งดังที่สุดในโลกของซูเปอร์ฮีโร่
ปรากฏการณ์ “มหัศจรรย์” เริ่มขึ้นเมื่อ 44 ปีก่อน หลังจากที่มาร์ติน กู้ดแมน บรรณาธิการผู้พิมพ์ของมาร์เวล คอมมิกส์ เล่นกอล์ฟกับคู่แข่งในวงการ เขาตัดสินใจจะเดินหน้าด้วยความคิดที่น่าสนใจมาก กู้ดแมนเล่าความคิดของเขาให้กับสแตน ลี นักเขียนการ์ตูนผู้เป็นตำนานฟัง
“มาร์ตินพูดกับผมว่า ‘ทำไมคุณไม่สร้างทีมซูเปอร์ฮีโร่ขึ้นมาล่ะ’” ลีทบทวนความจำ “ดังนั้น
ผมกับแจ๊ค เคอร์บี้จึงสร้าง แฟนตาสติค โฟร์ และกว่าสี่สิบปีต่อมา มันยังคงเป็นอัญมณีในมงกุฎของมาร์เวล”
ลีต้องการให้ซูเปอร์ฮีโร่ของเขาเป็นคนจริงๆ ที่ไม่มีตัวตนลับๆ เขากล่าวว่า “ผมอยากจะสร้างพวกเขาให้เป็นเหมือนคนจริงๆ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่พวกเราในโลกจริง ซึ่งบังเอิญมีพลังพิเศษ” “พวกเขาคือครอบครัวซูเปอร์ฮีโร่ครอบครัวแรก คนสี่คนที่ใช้ชีวิตและทำงานด้วยกันราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน เราไม่เคยเห็นความสัมพันธ์เช่นนี้ในหนังสือการ์ตูนเรื่องใดๆ ก่อนหน้าแฟนตาสติค โฟร์ และนั่นทำให้การ์ตูนเรื่องนี้มีเอกลักษณ์และได้รับความนิยมมากในหมู่แฟนๆ“
สำหรับสแตน ลี การได้เห็นหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้มีชีวิตขึ้นมาเป็นความรู้สึกที่วิเศษที่สุด “มันน่าตื่นเต้นจริงๆ “ ลีกล่าว “ฟ็อกซ์อยากทำหนังเรื่องนี้มานานมากแล้ว ผมดีใจที่พวกเขาเฝ้ารอเพื่อตัวเรื่องที่ใช่และเทคโนโลยีที่เหมาะสม พวกเขามีกลุ่มนักแสดงที่สมบูรณ์แบบ แล้วทุกอย่างจะปรากฏบนจอเงิน...อารมณ์ขัน เรื่องชีวิตหนัก การผจญภัย ฉากบู๊ ความสนุก...ทุกอย่างที่ทำให้หนังมหัศจรรย์มาก”มีการพัฒนาภาพยนตร์ดัดแปลงของการ์ตูนแฟนตาสติค โฟร์ของมาร์เวลมาเป็นเวลากว่าหนึ่งทศวรรษ เมื่อผู้อำนวยการสร้างอย่างเบิร์นด์ ไอคิงเกอร์สของบริษัทคอนสแตนติน ฟิล์มส์ และบริษัท 1492 โปรดักชั่นส์ของคริส โคลัมบัสค้นหาบทภาพยนตร์ที่เหมาะสม
นักเขียนบทหลายคนเขียนบทร่างในช่วงเวลาหลายปี สิ่งต่างๆ เริ่มรวมเป็นรูปเป็นร่างกับบทของไมเคิล แฟรนซ์ (“Hulk”) “ผมอยากดูหนัง ‘แฟนตาสติค โฟร์’ บนจอภาพยนตร์มาตั้งแต่ผมเป็นเด็ก” แฟรนซ์กล่าว “การเข้าร่วมกับภาพยนตร์เรื่อง‘แฟนตาสติค โฟร์’ คือเหตุผลหนึ่งที่ผมก้าวเข้ามาในวงการภาพยนตร์ตั้งแต่แรก”
สำหรับแฟรนซ์และผู้อำนวยการสร้าง เป้าหมายหลักคือการจับโทนที่ถูกต้องของเรื่อง“ทิศทางของโทนเรื่องคือการทำตามหนังสือการ์ตูนเดิม” แฟรนซ์กล่าว “เราต้องการหนังที่มีความตื่นเต้นและเต็มไปด้วยสิ่งที่เราไม่เคยเห็นในหนังเรื่องอื่น”
หลังจากเขียนบทร่างอื่นๆ หลายครั้ง มาร์ค ฟรอสต์ (“Twin Peaks”) ซึ่งเป็นแฟนของการ์ตูนแฟนตาสติค โฟร์เช่นกัน ก้าวเข้ามาทำให้บทเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น “ผมว่าเราต้องไปสู่รากของการ์ตูน” ฟรอสต์กล่าว “ผมรู้สึกว่าแก่นของมันจริงๆ เป็นเรื่องที่ง่ายมาก สัญชาตญาณของผมคือ ตัวเรื่องของหนังจำเป็นต้องเหมือนหนังสือการ์ตูนยุคแรกๆ ที่เขียนโดยสแตน ลีและแจ๊ค เคอร์บี้ — นั่นคือ มันควรจะมีความรู้สึกที่เปี่ยมพลังและมีเสน่ห์ เราอยากจับความตื่นเต้นของแฟนตาสติค โฟร์ที่ได้รับพลัง ขณะเดียวกันเราจะแนะนำผู้ชมใหม่ให้รู้จักตำนานของพวกเขา”
เมื่อผู้กำกับ ทิม สตอรี่เข้ามาทำหนังเรื่องนี้ เขาเห็นบทร่างที่ยังคงมีศูนย์กลางอยู่ที่หนังสือการ์ตูน แน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะซื่อสัตย์ต่อเรื่องในหนังสือการ์ตูนทั้งหมด มันมีเป็นพันๆ เรื่อง แต่สตอรี่เข้าใจว่าหนังจะต้องซื่อสัตย์ต่อตัวละคร เขายังอยากทำให้ตัวละครมีความเป็นมนุษย์ด้วย โดยเฉพาะตัว ดร.ดูม ซึ่งถูกพัฒนาน้อยกว่าตัวละครเอกทั้งสี่ในบทร่างเดิม
ตลอดช่วงหลายปีที่บทเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ผู้สร้างยังคงตั้งคำถามเดิมๆ อยู่ พวกเขาสงสัยว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าพอหรือไม่ที่จะทำให้เหล่าฮีโร่กับพลังของพวกเขาสมจริงและน่าเชื่อถือสำหรับแฟนๆ สามรุ่นที่ฉลาดมากขึ้น
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความก้าวหน้าเทคโนโลยีวิชวล เอฟเฟกต์จะมีบทบาทสำคัญมากเมื่อหนังเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้น” ราล์ฟ วินเทอร์ ผู้อำนวยการสร้างอธิบาย “เราคงทำไม่สำเร็จแม้แต่เพียงไม่กี่ปีก่อนนี้ เทคโนโลยียังมาไม่ถึงเลยตอนนั้น” “อย่างไรก็ตาม เมื่อสองปีสุดท้ายหรืออะไรประมาณนั้น ความก้าวหน้าในคอมพิวเตอร์กราฟิก การสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ทำให้ภาพสมจริงทำให้เราสามารถคิดจริงจังในเรื่องความเป็นไปได้ที่จะทำให้มันถูกต้อง เราสามารถดัดและยืดร่างกายคนได้และทำให้มันดูสมจริง ผสมไฟจริงเข้ากับไฟที่ทำจากคอมพิวเตอร์กราฟิกเพื่อทำให้มนุษย์พระเพลิงดูน่าเชื่อ สร้างตัวละครล่องหนซึ่งผู้ชมยังมองเห็นได้ และศิลปะของเมคอัพวิชวล เอฟเฟกต์พิเศษมาไกลพอที่จะทำให้นักแสดงเล่นเป็นเดอะ ธิงได้ แทนที่จะใช้คอมพิวเตอร์สร้างตัวละครขึ้นมาทั้งตัว เราดูเครื่องมือทุกอย่างที่จะหาได้ และตัดสินใจว่าเวลาเหมาะสมแล้วที่จะนำเรื่องนี้มาสู่จอภาพยนตร์”
ทิม สตอรี่ ผู้กำกับ และ อาวี อาราด ผู้อำนวยการสร้างก็รู้สึกว่าจังหวะนี้เหมาะสมที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่องแฟนตาสติค โฟร์แล้ว สำหรับเหตุผลที่นอกเหนือจากเรื่องของเทคโนโลยีและเอฟเฟกต์
อาราดกล่าวว่า “นิยายวิทยาศาสตร์ในช่วงทศวรรษ1960 ของสแตน ลี และแจ๊ค เคอร์บี้ กลายเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ของศตวรรษที่ 21 พวกเขาเป็นนักจินตนาการตัวจริง ในการสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางในอวกาศแบบส่วนตัวและการวิจัยเรื่องดีเอ็นเอมานานมากก่อนที่เรื่องเหล่านี้จะเป็นไปได้ และเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มหลักของสามัญสำนึก ตอนนี้เราได้อ่านและได้ยินเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ทุกวัน”
สำหรับทิม สตอรี่ แฟนตาสติค โฟร์ นำเสนอความเชื่อมโยงทางสังคม-การเมืองในยุคของคุณค่าของครอบครัว ดารารายการเรียลลิตี้ และความหลงใหลทางวัฒนธรรมกับความคิดของคนมีชื่อเสียง
“แฟนตาสติค โฟร์ น่าจะเป็นหนังสือการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่อยู่ใกล้ชิดกับหัวใจของผมมากที่สุด” สตอรี่กล่าว “เพราะพวกเขาคือคนจริงที่ใช้ชีวิตและทำงานกันเป็นครอบครัว ไม่ว่าพวกเขาจะดูผิดปกติมากแค่ไหน ไม่ว่าพวกเขาจะโต้เถียงกันมากขนาดไหน พวกเขาก็ยังอยู่ด้วยกันเมื่อชีวิตของพวกเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ แล้วพวกเขาก็เติบโตจากคนที่ไม่สำคัญกลายเป็นคนดังในสังคม
สตอรี่กล่าวเสริมว่า “ความแตกต่างมากที่สุดระหว่างแฟนตาสติค โฟร์กับซูเปอร์ฮีโร่ในการ์ตูนเรื่องอื่นคือ พวกเขาไม่มีตัวตนลับหรือตัวตนที่หลบซ่อน เมื่อพวกเขาเดินไปตามถนนในแมนฮัตตัน ผู้คนจำพวกเขาได้ว่าเป็นรี้ด ริชาร์ดส์หรือมิสเตอร์ แฟนตาสติค จอห์นนี่ สตอร์มเป็นตัวอย่างที่เหมาะสมของความรู้สึกอ่อนไหวชั่วข้ามคืน และเขาตระหนักถึงเวลาของเขาที่อยู่ในความสนใจในฐานะมนุษย์พระเพลิง พวกเขาเป็นฮีโร่ตอนกลางวัน ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเปิดเผยถัดจากคุณและผม ผู้คนสมัยนี้ต้องการฮีโร่แบบนั้น ผมว่าวิธีการเข้าหาผู้ชมแบบนี้คือเหตุผลหนึ่งที่หนังสือการ์ตูนได้รับความนิยมมากมาเป็นเวลานานหลายปี”
อุปสรรคส่วนใหญ่ของ “วิธีนำเสนอ”นั้นตกเป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการสร้างฝ่ายวิชวล เอฟเฟกต์ เคิร์ต วิลเลียมส์ ซึ่งความท้าทายของเขาคือการผสมผสานการแสดงของนักแสดงให้เข้ากับงานวิชวล เอฟเฟกต์กว่า 800 ช็อตในหนังได้อย่างกลมกลืน
วิลเลียมส์กล่าวว่า “ทิมต้องการให้หนังและตัวละครเหล่านี้มีความสัมพันธ์ที่สมจริงและมีความเป็นธรรมชาติ รวมทั้งสภาพแวดล้อมของพวกเขาด้วย ดังนั้น เมื่อเขาและนักแสดงพัฒนาตัวละครขึ้นมา ทีมของผมกับผมก็พัฒนาชั้นของงานวิชวล เอฟเฟกต์ ซึ่งจะต้องผสมผสานเข้าไปในหนังได้อย่างสมจริง น่าเชื่อ และสมดุลมาก ทั้งในแง่ภาพและความรู้สึก”
“เราสร้างแบบ “ฟิสิกส์”สำหรับตัวละครแต่ละตัวขึ้น” วิลเลียมส์กล่าวต่อ “ตอนนี้มันไม่ใช่หลักฟิสิกส์ของโลกเรา แต่เป็นกลุ่มของฟิสิกส์ซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังของตัวละครแต่ละตัว เช่น มิสเตอร์ แฟนตาสติค มีกลุ่มฟิสิกส์ของเขาเอง ซึ่งให้เหตุผลเราถึงวิธีที่ร่างกายเขายืดออกและโค้งงอได้ มันไม่ใช่แค่การยืดผิวหนังเท่านั้น เราต้องพิจารณาว่ากระดูกและกล้ามเนื้อของเขาจะยืดออกอย่างไรด้วย เราต้องออกแบบเอฟเฟกต์ซึ่งทำให้พลังของเขาดูน่าเชื่อ เป็นเอฟเฟกต์ที่จะไม่ทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่เชื่อ”
ทิม สตอรี่กล่าวว่า “ความสนุกแท้ๆ ของเรื่องจะวนเวียนอยู่รอบๆ พลังของพวกเขา ผมหมายถึง มีใครบ้างที่ไม่สงสัยว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อเราล่องหนได้ หรือเหาะได้ หรือมีพลังแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ ผมว่าความเป็นเด็กในตัวเราทุกคนจะเชื่อมโยงกับสิ่งเหล่านั้นได้ การได้ดูพวกเขาตอนที่ค้นพบพลังครั้งแรก พวกเขารับพลังนั้นเข้ามาในชีวิตใหม่อย่างไร และ ในที่สุด การใช้มันในการต่อสู้กับผู้ร้ายเป็นสิ่งที่เท่มากๆ เขากล่าวกันว่า เงินคือพลัง แต่สำหรับแฟนตาสติค โฟร์ พลังก็คือพลัง”
ผู้สร้างการ์ตูน สแตน ลี และแจ๊ค เคอร์บี้ คิด เขียน และวาดภาพพลังของมนุษย์กายสิทธิ์ทั้งสี่ และศัตรูคู่ต่อกรของเขา ดร.ดูม เป็นส่วนขยายของบุคลิกตัวละครแต่ละคน สำหรับนักแสดง นี่คือแนวคิดซึ่งนำไปสู่ธรรมชาติที่สมจริงและดูมีชีวิตของฮีโร่และตัวร้าย
“มันเป็นแนวคิดที่ฉลาดจริงๆ” โยอัน กริฟฟิดด์ กล่าว เขาแสดงเป็น รี้ด ริชาร์ดส์ หรือมิสเตอร์ แฟนตาสติค นักวิทยาศาสตร์แสนฉลาด เป็นผู้นำและคนที่เป็นเหมือนพ่อของกลุ่ม “รี้ดเป็นคนที่หลงใหลงานมาก งานหมายถึงทุกอย่างสำหรับเขา คุณจึงใช้เหตุผลอธิบายพลังพิเศษของเขาได้ในหลายๆวิธี เขามักไขว่คว้าหาดาว บางที เขาอาจจะทำให้ตัวเองลีบแบน ด้วยการทำงานและทำการทดลองมากเกินไปในเวลาเดียวกัน แถมเขายังมีบุคลิกที่อ่อนหัด ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเขา โดยเฉพาะกับ ซู สตอร์ม เขามองว่าไกลเกินเอื้อมของเขา”
กริฟฟิดด์ ซึ่งไม่รู้จักการ์ตูน ยอมรับว่าเขาไม่แน่ใจว่าผู้สร้างจะนำความสามารถของรี้ดในการยืดร่างกายให้เป็นรูปทรงและขนาดต่างๆ ได้อย่างไร
“ผมติดใจตัวละคร รี้ด ริชาร์ดส์ เพราะเขาเป็นคนฉลาดมาก เอาจริงเอาจังและมีเสน่ห์ แล้วก็ที่สุดแล้ว เขาก็มีความเป็นวีรบุรุษด้วย” กริฟฟิดด์กล่าว “แต่ผมเป็นห่วงว่าพลังของรี้ดอาจจะดูไม่สมจริง แม้แต่ในโลกของหนังสือการ์ตูน/หนัง ทิมทำให้ผมมั่นใจว่าเทคโนโลยีมาถึงจุดที่เวลาที่รี้ดใช้พลังของเขา มันจะไม่ดูหลอกหรือดูเป็นยาง ทิมอธิบายว่าพลังของรี้ดจะแข็งแรง มีพละกำลัง และดูเป็นผู้ชายมากๆ เราจะได้ยินเสียงกล้ามเนื้อและกระดูกของเขายืดออก ไม่ใช่แค่ผิวหนังของเขาเท่านั้น และมันจะต้องเจ็บปวดทุกครั้งที่รี้ดยืดตัวมัน จะไม่เป็นพลังแบบไร้ความพยายาม”
ตามคำกล่าวของเจสสิก้า อัลบ้า ในฐานะรูปแบบที่เป็นเหมือนแม่ของกลุ่ม ซู สตอร์ม/มนุษย์ล่องหน คือ“กาวที่ยึดครอบครัวไว้ด้วยกัน” การแสดงพลังของเธอ นั่นคือ การล่องหนและความสามารถในการปล่อยสนามพลังที่มีพลังแรงมาก จะออกมาจากแก่นทางอารมณ์ที่เหมือนแม่ลึกๆ ในใจของซู
“ซูเป็นนักวิทยาศาสตร์” อัลบ้ากล่าว “ เธอต้องต่อสู้เพื่อให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับในโลกที่ผู้ชายยึดครอง ไม่ว่าจะเป็นในความสัมพันธ์ของเธอกับวิคเตอร์ หรือรี้ด หรือจอห์นนี่ น้องชายของเธอ เธอต่อสู้เพื่อให้มีคนมองเห็น ได้ยิน และตระหนักว่าเธอก็เท่าเทียมกับพวกเขา เธออยากให้พวกเขายอมรับแนวความคิดและความเห็นของเธออย่างจริงจัง และไม่อยากจะถูกมองข้ามหรือเมินเฉย เธอมักจะคิดกับตัวเองว่าเธออาจจะล่องหนได้ ดังนั้นพลังของเธอในการล่องหนได้จะแสดงออกมาโดยขึ้นอยู่กับสภาวะอารมณ์ของเธอในช่วงเวลานั้นๆ”
อัลบ้ากล่าวต่อว่า“เช่นเดียวกับตัวละครทั้งหมด ซูค่อยๆ ค้นพบพลังของเธอและเริ่มตระหนักถึงความเกี่ยวเนื่องกับบุคลิกของเธอเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ถ้าเธอเศร้า เธออาจจะล่องหน แล้วถ้าเธอโกรธ เธอส่งสนามพลังออกมาได้อย่างรุนแรง เมื่อถึงเวลาที่เธอต่อสู้กับ ดร.ดูม เธอแข็งแกร่งมากขึ้นมาก มั่นใจมากขึ้น และระมัดระวังน้อยลงกว่าที่เธอเคยเป็นก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุบนสถานีอวกาศ”
สแตน ลีนึกถึงความตั้งใจของเขาตอนที่สร้างซู สตอร์ม ขึ้นมาว่า “ผมไม่อยากให้ซูเป็นตัวละครผู้หญิงในการ์ตูนแบบทั่วๆ ไป ซึ่งมักจะร้องขอความช่วยเหลือเสมอ ผมไม่อยากให้เธอเป็นหญิงสาวที่มีแต่ความซึมเศร้า ผมอยากให้เธอเป็นส่วนประกอบสำคัญของทีม ผมจึงมอบความสามารถที่น่าสนใจมากให้เธอถึงสองอย่าง อันที่จริง บางคนคิดว่าการรวมกันของพลังของซูทำให้เธอเป็นคนมีพลังสูงสุดในกลุ่ม”
“การล่องหนเป็นงานวิชวล เอฟเฟกต์ที่ท้าทายมาก” เคิร์ต วิลเลียมส์กล่าว “เพราะมุมมองเกี่ยวกับตัวละครของทิมคือการใช้การแสดงนำ เราจึงตัดสินใจที่จะเก็บลักษณะบางอย่างของเจสสิก้าเอาไว้เวลาที่เธอล่องหน เช่น จะมีสัญญาณบางๆ อยู่เสมอว่าเธออยู่ที่นั่นแม้แต่เวลาที่คุณมองเธอไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงของริมฝีปากของเธอหรือดวงตา หรือว่าผมของเธอ มันเป็นเอฟเฟกต์ที่ละเอียดอ่อนมาก และมันสะท้อนถึงความบอบบางที่เจสสิก้านำมาสู่บทบาทนี้”
“ขั้นตอนในการล่องหนเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก และยากกว่าที่ฉันคาดเอาไว้” อัลบ้ากล่าว “ฉันต้องเล่นทุกฉากสองครั้ง ฉันรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องสร้างอารมณ์หลายครั้งไม่ว่าจะมีนักแสดงนั่งอยู่ตรงข้ามฉันหรือไม่ก็ตาม”
น้องของซู สตอร์ม จอห์นนี่ สตอร์ม/มนุษย์พระเพลิง แสดงโดย คริส อีแวนส์ เป็นสมาชิกคนที่สามของครอบครัวมนุษย์กายสิทธิ์ สำหรับอีแวนส์ ความคิดเรื่องการเล่นเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่เลือดร้อนและใจร้อนแต่เท่ตลอดกาลมาหาเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
อีแวนส์ กล่าวว่า “มันคือความฝันของเด็กผู้ชายทุกคน มีเด็กคนไหนบ้างที่ไม่เอาผ้าเช็ดตัว
มาพันรอบคอแล้วกระโดดจากโซฟาเหมือนซูเปอร์ฮีโร่ แม้ว่าผมยังค่อนข้างใหม่กับปรากฏการณ์ แฟนตาสติค โฟร์ ผมบอกได้ว่าจอห์นนี่จะต้องเป็นบทที่เล่นแล้วสนุกมาก เขาคือตัวอย่างของคนหนุ่มที่ต้องการจะสนุกสนาน เขาคือคนบ้าบิ่น เขาเล่นสโนว์บอร์ด ขี่มอเตอร์ไซค์วิบาก และเป็นนักบินของยานอวกาศ เขามีทัศนคติของการไม่อาจเอาชนะได้ และเพลิดเพลินกับการอยู่ในความสนใจของผู้คน เขาใช้ชีวิตอยู่เพื่อรถเร็วๆ ผู้หญิงใจเร็ว และเสียงปรบมือ อ้อ ใช่ ผมลืมบอกไปว่าเขาระเบิดตัวเองเป็นเปลวเพลิงได้ และยังเหาะได้ด้วย ไม่มีอะไรจะเรียกร้องความสนใจได้มากกว่านี้แล้ว”
อีแวนส์กล่าวว่า “จอห์นนี่ไม่ค่อยทำให้ตัวเองต้องวุ่นวายกับปัญหาของคนอื่น เขาสนใจแต่ความคิดของตัวเองมากเกินไป ใช่ เขาชอบแกล้งพี่สาว และคอยดึงโซ่ของเบนเสมอ เขานับถือรี้ดว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อัจฉริยะ แต่เขาตระหนักดีว่าชายผู้นี้หลงทางในงานของเขา และทำทุกอย่างที่จะทำให้โอกาสของเขาที่จะได้คืนดีกับซูต้องพังพินาศ นั่นคือสิ่งที่จอห์นนี่นำมาสู่พลังของครอบครัว เป็นการขาดความสนใจในความรักแบบไร้เงื่อนไข ในที่สุด เขาก็โตขึ้นเล็กน้อย และตระหนักถึงความสำคัญของทีม และความรับผิดชอบที่ถูกบังคับให้ต้องยอมรับ”
อีกครั้งที่เวทมนตร์ของวิชวล เอฟเฟกต์ช่วยเสริมการแสดงของนักแสดง เคิร์ต วิลเลียมส์กล่าวว่า “พลังไฟมนุษย์พระเพลิงของจอห์นนี่เป็นการผสมและจัดวางองค์ประกอบของไฟที่สร้างจากคอมพิวเตอร์ เราถ่ายองค์ประกอบจริงในโรงถ่าย ซึ่งเป็นเปลวไฟหลายขนาดตั้งแต่เล็กเท่ากับไฟแช็กบิ๊ก ไปจนถึงเปลวเพลิงหมุนแบบทอร์นาโด สำหรับเอฟเฟกต์ “ซูเปอร์โนวา”ของเขา จากนั้น องค์ประกอบจริงจะถูกเสริมด้วยงานคอมพิวเตอร์กราฟิก เช่นเดียวกับการล่องหนของเจสสิก้า เราไม่ต้องการจะปิดบังการแสดงของคริสด้วยไฟ แต่เราต้องการให้ผู้ชมสามารถมองเห็นใบหน้าและดวงตาของเขาได้ แม้แต่ตอนที่ตัวเขาถูกล้อมไปด้วยเปลวไฟทั้งหมด”
อีกคนที่จอห์นนี่ชอบแหย่คือ เบน กริมม์ เมื่อนักแสดง ไมเคิล ชิคลิสอายุสิบแปดปี เขาบอกกับน้องชายว่า “ถ้ามีการสร้างหนังจากหนังสือการ์ตูนเรื่องแฟนตาสติค โฟร์ ฉันจะเล่นเป็นเบน กริมม์”
นี่เป็นความปรารถนาหรือว่าคำทำนายของวัยรุ่นกันแน่
“ผมจะบอกยังไงดี” ชิคลิสพูดพร้อมยิ้ม“ผมรู้สึกชอบและหลงรักแฟนตาสติค โฟร์ โดยเฉพาะเบน กริมม์มาตลอด ผมเป็นเด็กเล็กๆ ที่อ่านเรื่องของชายผู้ถ่อมตน ซึ่งมาจากการเลี้ยงดูแบบชนชั้นกลางและถ่อมตัวแบบเดียวกับผม เบนเอาชนะหลายสิ่งหลายอย่างได้ และได้เป็นนักบินและนักบินอวกาศที่โดดเด่น เขามอบความหวังให้เด็กอย่างผม ว่าเราสามารถทำให้ความฝันเราเป็นจริงขึ้นมาได้ ตอนนี้ เมื่อผมได้มาเล่นเป็นเขาในหนังเรื่องนี้ ความฝันหนึ่งของผมก็กลายเป็นความจริงขึ้นมา”
ชิคลิสยอมรับว่าการได้มีโอกาสเล่นเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างเบน กริมม์หรือเดอะ ธิง เป็นงานที่น่ากังวล
ชิคลิสเล่าว่า “เบนมีภาระหน้าที่ที่หนักมากหลังจากเกิดอุบัติเหตุในอวกาศ จากมุมมองของนักแสดง ตัวละครของเขาเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์มากมายเหลือเชื่อ เขาเริ่มจากการเป็นคนที่แข็งแรง มีความมั่นใจ และไม่ใช่คนสะดุดตา แล้วเขาจบลงด้วยการกลายเป็นสัตว์ประหลาด วีรบุรุษ และคนดัง เป็นเรื่องยากแสนสาหัสสำหรับเขาที่จะยอมรับชะตากรรมอันเลวร้าย เพราะเขาไม่ใช่คนประเภทที่อยากเป็นศูนย์กลางของความสนใจ เขาแค่อยากเป็นเบนอีกครั้ง”
“ใช่ครับ บทนี้เป็นบทหนึ่งที่ท้าทายที่สุดเท่าที่ผมเคยแสดงมาในชีวิตและอาชีพ” ชิคลิสกล่าวต่อ “ตัวผมเองต้องเอาชนะความกลัวและทำความเข้าใจกับงานที่อยู่ข้างหน้าผม โดยเฉพาะเมื่อผมเห็นว่าผมจะต้องแสดงผ่านทางการแต่งหน้าและเสื้อผ้าทั้งหลายทั้งปวง วันแรกที่ผมใส่ชุดช่างเป็นประสบการณ์ที่น่าตกใจและเป็นความรู้สึกที่รุนแรงมาก เป็นการทดสอบทางชีวฟิสิกส์ของทักษะการรับมือของผม ผมรู้สึกกลัวจริงๆ”
“ผมไม่ใช่คนขี้กลัว” ชิคลิสกล่าวต่อ “ฉะนั้นเมื่อผมรู้สึกเกิดความกลัวที่แคบ ทำให้ผมไม่ได้ระวังตัวและค่อนข้างตกใจ จริงๆ มันทำให้ผมคิดว่าผมจะเล่นบทนี้ไม่ได้ คืนนั้นผมจึงโทรศัพท์หาจิตแพทย์ พูดคุยกับเธอเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมวันนั้น ผมขอให้เธอช่วยในการรับมือกับความกลัวนั้น เธอให้เครื่องมือที่ยอดเยี่ยมมากเพื่อใช้ให้ผมอยู่กับช่วงเวลานั้นๆ ให้ได้ ในฐานะนักแสดง มันเกี่ยวกับช่วงเวลาหนึ่งต่อช่วงเวลาหนึ่ง ผมขอบคุณเธออย่างเป็นนัยๆ ที่ให้ทักษะผมในการเข้าไปอยู่ในชุดนั้นทุกวัน และทำให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้เพื่อทำให้ตัวละครมีชีวิตขึ้นมา”
ชุดที่ชิคลิสพูดถึง คือ ชุดยางดิบหนักกว่า 60 ปอนด์ และการแต่งหน้าด้วยอุปกรณ์แขนขาเทียม ซึ่งเปลี่ยนเขาจากไมเคิลให้กลายเป็น เดอะ ธิง ในเวลาสามชั่วโมง ผู้ที่ตัดสินใจจะแต่งมนุษย์หินด้วยอุปกรณ์แทนที่จะทำด้วยคอมพิวเตอร์คือผู้กำกับ ทิม สตอรี่ ผู้อำนวยการสร้าง ทีมวิชวลเอฟเฟกต์ และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายและแต่งหน้าเอฟเฟกต์
“เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในการทำหนัง” สตอรี่กล่าว “และเราตัดสินใจกันตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้มีเวลามากพอที่จะทำให้เดอะ ธิง ออกมาถูกต้อง ผิดกับเดอะ ฮัลค์ ใต้หินเหล่านั้นคือมนุษย์ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิด เขาพูด เขาสนทนา เขามีความรักเสียด้วยซ้ำ เราจึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่นักแสดงจะต้องสร้างตัวละครนี้ขึ้นมาแทนที่จะใช้คอมพิวเตอร์ แม้ว่าเขาจะดูเหมือนสัตว์ประหลาด แต่การแสดงของไมเคิลเป็นตัวที่ทำให้เดอะ ธิง ดูน่าเชื่อในความเป็นคน”
“การทำคอมพิวเตอร์กราฟิกจะเหมาะกับตัวละครอย่าง เดอะ ฮัลค์ หรือ กอลลัม หรือไดโนเสาร์” อาวี อาราด ผู้อำนวยการสร้างกล่าว “สิ่งที่เราไม่ต้องการทำคือการเสียการแสดงของไมเคิลไปกับซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์บางตัว แต่เราต้องการให้สามารถมองเข้าไปในดวงตาของเดอะ ธิงได้ และรู้ว่าจริงๆ มันคือตาของไมเคิล ตาของมนุษย์ คุณจะเห็นความน่าเห็นใจของมนุษย์ซึ่งตัวละครกำลังประสบอยู่ผ่านทางดวงตาของเขา และมันได้ผลเพราะการแสดงของไมเคิลกับพรสวรรค์และการทุ่มเทของฝ่ายสร้างสรรค์ของเรา”
ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย โฮเซ่ เฟอร์นานเดซ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสัตว์ประหลาด ไมเคิล
เอลิซัลเด ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายวิชวล เอฟเฟกต์ เคิร์ต วิลเลียมส์ และศิลปิน ประติมากร ผู้ออกแบบสัตว์ประหลาดและช่างเทคนิคจำนวนมาก ณ สเปคทรัล โมชั่น ทำงานร่วมกันเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อทำชุดของเดอะ ธิง
เดอะ ธิง เกิดจากการฉาบปูนและรูปปั้นขนาดเล็กโดยเฟอร์นานเดซ วิจัยและพัฒนาโดยทีมของเอลิซัลเด ที่สเปคทรัล โมชั่น และการนำมาใช้ที่กองถ่ายโดยศิลปินแต่งหน้าเอฟเฟกต์คนสำคัญ บาร์ท มิกซอน และ เจนี ดันโคส ชุดทำจากยางดิบและในบางส่วนหนา 5-6 นิ้ว เฟอร์นานเดซ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเรียกมันว่า “หม้อความดัน”ของจริง
“นึกภาพชุดเว็ตสูท (ชุดที่ใช้ใส่ในการดำน้ำหรือเล่นกีฬาทางน้ำ—ผู้แปล ) แบบปกติสิ”เขากล่าว “แล้วเพิ่มความหนาเข้าไปอีกหลายนิ้ว นั่นจะทำให้คุณพอนึกถึงน้ำหนักของชุดออก อย่างไรก็ตาม มันไม่เหมือนกับชุดของเดอะ ธิง ศีรษะของคุณจะเปิดโล่งเมื่อคุณสวมชุดเว็ตสูท เพื่อปล่อยความร้อนออกมา ไมเคิลจะถูกปิดศีรษะไว้หมด เวลาที่เขาอยู่ข้างในชุด จึงไม่มีทางให้ความร้อนระบายออก ต้องยกย่องเขาเพราะเขาตัวแทบสุกอยู่ในนั้น สุกเกรียมเลยล่ะ”
ทีมทำชุดพัฒนาระบบที่จะช่วยให้ชิคลิสเย็นขึ้น ด้วยการเอาหินก้อนหนึ่งบนศีรษะของเขาออก แล้วใส่ท่อเครื่องปรับอากาศ ซึ่งจะเป่าลมเย็นเข้าไปยังช่องว่างเล็กๆ ระหว่างผิวของนักแสดงกับแผ่นผ้าใยสังเคราะห์ที่อยู่ในชุด พวกเขายังมีแผ่นกระดานเอียงพิเศษที่สร้างขึ้น ซึ่งจะทำให้นักแสดงสามารถเอนตัวพิงได้ประมาณ 45 องศา ชิคลิสตั้งชื่อให้มันด้วยความรักว่า “เครื่องทรมาน” แผ่นกระดานเอียงไม่เพียงแต่ทำให้ชิคลิสสบายขึ้นระหว่างเทค ( เนื่องจากเขาไม่สามารถนั่งเก้าอี้ของผู้กำกับทั่วๆ ไปได้ ) แต่มันยังทำให้ทีมแต่งหน้าและเสื้อผ้าเข้าถึงนักแสดงได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า เพื่อแต่งเติมอุปกรณ์ได้ง่ายมากขึ้น
แม้จะมีชุดที่ไม่เหมือนใครและมีการพัฒนาอย่างสูงสุด เดอะ ธิง ก็ยังต้องเสริมด้วยเอฟเฟกต์ที่ทำจากคอมพิวเตอร์ในบางสถานการณ์ “หน้าที่จริงๆ ของเรากับตัวเดอะ ธิง จะเกี่ยวกับการรวมเขาเข้ากับสภาพแวดล้อม” เคิร์ต วิลเลียมส์อธิบาย “อย่างเช่น เวลาที่เขากระโดดลงไปที่ถนน ถนนจะต้องแตกเพราะน้ำหนักของหินทั้งหมด ถ้าเขาแตะโดนหัวมุมตึกอิฐ อิฐบางก้อนอาจจะหลวมจนหล่นออกมาเพราะโดนแรงผลักเต็มที่ แน่นอน ถ้าเขาเกาหน้า คุณจะได้เห็นเศษฝุ่นผงหลุดออกมาจากหิน เวลาที่เขาเคลื่อนที่อย่างรุนแรง เราจะทำให้มีเศษฝุ่นผงออกมาจากตัวเขามากขึ้น ราวกับก้อนหินเสียดสีกันเอง ชุดที่ใส่อาจหนัก 60 ปอนด์ แต่เราทำเพิ่มให้ดูเหมือนเขาเป็นหินหนัก 2,000 ปอนด์”
มาร์เวล คอมมิกส์และสแตน ลี อาจจะตั้งชื่อการ์ตูนที่ทันสมัยมากของพวกเขาว่าแฟนตาสติค โฟร์ แต่ก็มีวงล้อสำคัญวงที่ห้าที่ช่วยทำให้มันเป็นการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการ์ตูนประเภทเดียวกัน นั่นคือ ตัวร้าย วิคเตอร์ วอน ดูม หรือ ดร.ดูม
“เราโชคดีมากที่สามารถฝันถึงตัวร้ายที่ยิ่งใหญ่ได้หลายตัว” สแตน ลี กล่าว “ผมคิดว่า ดร.ดูมเป็นหนึ่งในการสร้างตัวร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของผม เขายิ่งใหญ่เหนือกว่าฮีโร่ทั้งสี่ของเรา พวกเขาไม่ได้สู้กับโจรกระจอกหรือพวกข้ามถนนผิดกฎหมายหรือพวกคนทิ้งขยะ พวกเขาต้องต่อสู้กับผู้ชายอย่างดูม”
จูเลี่ยน แม็คแมน ที่รับบทนี้ ได้รับการเลี้ยงดูมาในวงจรทางด้านการเมืองและสังคมในซิดนีย์ ก็เป็นเด็กธรรมดาๆ ที่รักการ์ตูนและหนังสือการ์ตูน
(ยังมีต่อ)