ด้าน นพ.ชิโนรส ลี้สวัสดิ์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การมีกฎหมายสุขภาพจิต ก็เพื่อคุ้มครองสังคมจากผู้มีความผิดปกติทางจิตที่มีพฤติกรรมก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น และทรัพย์สิน ขณะเดียวกัน ก็เป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้ป่วยจิตเวชให้ได้รับการบำบัดรักษาที่มีมาตรฐานอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันหรือบรรเทาไม่ให้อาการผิดปกติทางจิตรุนแรงมากยิ่งขึ้น พระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ.2551 จึงเป็นหลักประกันอย่างหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับคนในสังคมและผู้ป่วยจิตเวช และสังคมปลอดภัยไปด้วย
ความผิดปกติทางจิตที่ควรสังเกตและควรได้รับการรักษา เช่น หูแว่ว เห็นภาพหลอน แยกตัวออกจากสังคม หวาดระแวงไร้เหตุผล คิดว่าตนเองมีความสามารถพิเศษเหนือผู้อื่น แต่งกายแปลกกว่าคนปกติ ซึ่งหากพบว่า มีอาการรุนแรง และมีภาวะอันตราย เสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นหรือมีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา ขาดความสามารถในการตัดสินใจให้ความยินยอมรับการบำบัดรักษา ให้แจ้ง บุคลากรทางการแพทย์ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. พนักงานฝ่ายปกครอง/ตำรวจ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ./1669) หรือ มูลนิธิฯ ซึ่งเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเรื่องก็ต้องนำตัวบุคคลนั้นไปยังสถานพยาบาลของรัฐโดยเร็ว เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและประเมินอาการเบื้องต้น หากการประเมินปรากฏว่า บุคคลนั้นไม่มีภาวะอันตรายหรือไม่เข้าข่ายที่จะต้องรับการบำบัดรักษา ก็ให้ดำเนินการปล่อยตัว ซึ่งการนำตัวผู้ป่วยจิตเวชเข้าสู่กระบวนการบังคับรักษานั้น ต้องถือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ป่วย มิใช่ผู้ต้องหา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว