นางสาวสุธางค์ คนศิลป กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (KOOL) เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ได้พิจารณานับหนึ่งแบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2558 ที่ผ่านมา โดยบริษัทมีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ของทุนจดทะเบียนของบริษัทภายหลัง IPO มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.25 บาท โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ภายในปีนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ วิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ และสร้างคลังสินค้า
ทั้งนี้ KOOL ประกอบธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรมภายใต้ตราสินค้า MASTERKOOL และ Cooltop และให้บริการเช่าใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสำหรับการจัดกิจกรรมต่างๆและออกแบบติดตั้งระบบระบายความร้อนภายในโรงงานและคลังสินค้า รวมทั้งออกแบบและติดตั้งระบบโอโซน เพื่อการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม สำหรับการจัดจำหน่ายนั้น มีหลายช่องทางเช่น จำหน่ายผ่านห้างค้าปลีกสมัยใหม่มากกว่า 200 สาขา และตัวแทนจำหน่ายในประเทศ 225 แห่ง และต่างประเทศ 22 แห่ง รวมทั้งยังมีการจัดจำหน่ายและบริการผ่านบริษัทโดยตรง
"จากจุดเด่นของ KOOL คือมีสินค้าที่มีคุณภาพ สามารถทำความเย็นได้ดีเหนือคู่แข่งเพราะบริษัทได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์กับประเทศไทย และประเทศอื่นๆที่อยู่ในเขตร้อนได้ดีจึงเป็นที่พอใจของลูกค้า ทำให้เชื่อว่าจะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน และถือเป็นอีกบริษัทที่น่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับการลงทุน ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นได้ภายในไตรมาส 3/2558 นี้" นางสาวสุธางค์ กล่าว
นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (KOOL) กล่าวว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทมีแผนจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในการพัฒนาสินค้าและบริการที่เกี่ยวเนื่องกับพัดลมไอเย็นและพัมลมไอน้ำ รวมถึงผลิตภัณฑ์ด้านการติดตั้งระบบโอโซน ซึ่งการที่บริษัทมีความพร้อมทางด้านเงินทุนและบุคลากรจะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และก่อสร้างคลังสินค้าที่ชลบุรี เพื่อลดต้นทุนค่าเช่าที่ค่อนข้างสูง
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2555 มีรายได้ 229.8 ล้านบาท ในปี 2556 มีรายได้ 307.5 ล้านบาท และในปี 2557 เพิ่มขึ้นเป็น 463.49 ล้านบาท ส่วนในปี 2558 มั่นใจว่าบริษัทจะมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง สาเหตุจากอากาศร้อนจัด ร้อนนาน และฝนไม่ตก ทำให้สินค้าบริษัทเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นมาก
สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทประมาณ 95% มาจากการจำหน่ายสินค้า ที่เหลือมาจากรายได้บริการและอื่นๆ โดยรายได้จากการจำหน่ายสินค้าแบ่งออกตามประเภทของผลิตภัณฑ์เป็น 3 กลุ่มคือ พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรม ซึ่งในปี 2557 รายได้หลักมาจากพัดลมไอเย็น โดยคิดเป็น 73.2% ของรายได้รวม นอกจากนี้ในปี 2556-2557 บริษัทยังมีรายได้จากผลิตภัณฑ์โอโซนเข้ามา 4.65 ล้านบาท และ 4.25 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นธุรกิจใหม่ที่บริษัทจะยังมีโอกาสพัฒนาเติบโตได้อีกต่อไปในอนาคต