สำหรับหุ้น PK ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่ปี 2536 โดย บมจ. พัฒน์กล ประกอบธุรกิจด้านวิศวกรรมที่ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรในการออกแบบ สร้าง จัดหา ผลิตและติดตั้งเครื่องจักรในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเครื่องทำน้ำแข็ง เครื่องทำความเย็น ตู้แช่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต การผลิต-แปรรูปนม เครื่องดื่มต่างๆ และไอศกรีม รวมถึงอุตสาหกรรมการผลิตที่เกี่ยวกับการแปรรูปอาหารและอื่นๆ เกือบทุกประเภท อีกทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกให้มีน้ำแข็งหลอดขึ้นในประเทศไทย โดยเป็นผู้ผลิตเครื่องทำน้ำแข็งหลอดรายแรกที่ทำให้คนไทยมีน้ำแข็งที่สะอาด ถูกสุขอนามัยไว้บริโภคด้วยการออกแบบกระบวนการผลิตที่เป็นไปตามมาตรฐานสากลอีกด้วย
ทั้งนี้ด้วยสาเหตุที่บริษัทฯ ได้เข้าไปทำโครงการในธุรกิจพลังงานทดแทน มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ซึ่งไม่มีความเชี่ยวชาญ และถูกสั่งพักการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค. 2553 เป็นต้นมา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบริษัทได้ทำการปรับโครงสร้างกิจการ และยื่นขอฟื้นฟูกิจการ จนกระทั่ง บริษัทฯ สามารถฟื้นฟูกิจการสำเร็จและออกจากแผนฟื้นฟูตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลาง เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 และพร้อมกลับมาโลดแล่นในตลาดหุ้นวันที่ 28 กรกฎาคม นี้
นายแสงชัย โชติช่วงชัชวาล กรรมการผู้จัดการ บมจ.พัฒน์กล กล่าวว่า "พัฒน์กลมุ่งพัฒนา 4 ธุรกิจหลักรองรับอุตสาหกรรมอาหารและส่งออกอาหารที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ได้แก่ กลุ่มธุรกิจเครื่องทำความเย็น บริษัทฯ ถือเป็นผู้ประกอบการไทยรายใหญ่ที่สุดในแถบภูมิภาคอาเซียน ที่ทำงานด้านวิศวกรรม ทั้งในด้านการผลิต ออกแบบ ติดตั้ง และขายอะไหล่ อุปกรณ์ ระบบแช่อาหาร ห้องเย็นอุตสาหกรรมอาหารขนาดใหญ่ ตู้แช่ผลิตภัณฑ์และห้องเย็นสาหรับซุปเปอร์มาร์เก็ต ระบบทำความเย็นเพื่อใช้ในโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก ปลา กุ้ง ผักและผลไม้ โดยมีระบบทำน้ำเย็นเพื่อลดอุณหภูมิ และระบบลมเย็นเพื่อให้ผลิตภัณฑ์สดเสมอระหว่างการแปรรูปและตัดแต่ง เริ่มตั้งแต่แช่แข็งและเก็บ เพื่อรอการส่งออกและจำหน่ายต่อไป เป็นต้น เนื่องจากบริษัทฯ มีเทคโนโลยีที่ดีเทียบเท่าบริษัทต่างชาติและยังมุ่งเน้นในเรื่องการประหยัดพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อม ทำให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย และใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยสัดส่วนการผลิตปัจจุบันตลาดในประเทศเฉลี่ย 80 เปอร์เซ็นต์ และตลาดต่างประเทศอีก 20 เปอร์เซ็นต์ และตั้งเป้าไว้ว่าจะเพิ่มสัดส่วนการส่งออกให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 50:50 ใน 3-5 ปีข้างหน้า ธุรกิจวิศวะกรรมแปรรูปอาหารเหลว เป็นเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตนม น้ำผลไม้ ชา กาแฟ น้ำอัดลม เบียร์ และยังรวมถึงอุตสาหกรรมที่ไม่ใข่อาหาร ได้แก่ แชมพู ครีมนวดผม สบู่เหลว ยา เคมีภัณฑ์บางชนิด เช่นสี เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น โรงงานนมต้องใช้เทคโนโลยีระดังสูง เน้นระบบทำให้สะอาด และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ความภาคภูมิใจหนึ่งของบริษัทฯ คือการเป็นผู้ออกแบบ ผลิตและติดตั้งเครื่องจักร และเป็นผู้ร่วมพัฒนาสหกรณ์โคนมทั่วประเทศ เป็นบริษัทรายเดียวในประเทศไทยที่สามารถทำระบบควบคุมอัตโนมัติและมาตรฐานอาหารในการแปรรูปนม ในกระบวนการผลิตต่างๆได้ทัดเทียมบริษัทต่างชาติ ธุรกิจวิศวกรรมแปรรูปอาหารแข็ง พัฒน์กล เป็นบริษัทไทยแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถออกแบบและสร้างโรงงานแปรรูปปลาทูน่ากระป๋อง และโรงงานกุ้งครบวงจร และสร้างเครื่องจักรแช่แข็งแบบต่อเนื่อง เครื่องคัดขนาดปลา กุ้ง ผลไม้ สร้างเครื่องล้างถาดสำหรับโรงงานผลิตอาหารและซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อช่วยลดปัญหาด้านการขาดแคลนแรงงาน และสามารถสร้างโรงงานแปรรูปอาหารที่บริษัทต่างชาติยอมรับเพียงรายเดียวในประเทศไทย และสุดท้ายคือ กลุ่มธุรกิจเครื่องทำน้ำแข็ง ด้วยความที่พัฒน์กลคือผู้ที่บุกเบิกให้มีน้ำแข็งหลอดขึ้นในประเทศไทย และเป็นผู้ผลิตเครื่องทำน้ำแข็งหลอดรายแรกที่ทำให้คนไทยมีน้ำแข็งที่สะอาด ถูกสุขอนามัยไว้บริโภคด้วยกระบวนการผลิตที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล และเป็นอันดับหนึ่งของโลก อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิต ออกแบบ ติดตั้งและขายอะไหล่ อุปกรณ์สำหรับเครื่องทำน้ำแข็งหลอด น้ำแข็งเกล็ด และน้ำแข็งซองมายาวนานเกือบ 50 ปี และยังมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปแล้ว 5 ทวีป กว่า 50 ประเทศ ทำให้บริษัทฯ มีสัดส่วนการผลิตทั้งตลาดในและต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 40:60 เปอร์เซ็นต์"
นายแสงชัย กล่าวเสริมว่า "พัฒน์กลได้มีการขยายตลาดและการลงทุนเพื่อการเจริญเติบโตที่ยั่งยืน โดยมีการลงทุนทั้งในด้านเครื่องจักรและบุคลากรเป็นจำนวนมากเพื่อเตรียมความพร้อมและรองรับการขยายไปสู่สมาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในด้านบุคลากรนั้นเราต้องใช้เวลาในการฝึกคนเป็นเวลานานถึง 2-3 ปีซึ่งถือเป็นช่วงที่ต้องลงทุนไปก่อน ในด้านเครื่องจักร เรามีการปรับปรุงโรงงานกิ่งแก้วให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น และจัดเป็นศูนย์กระจายสินค้า งานติดตั้งและบริการ และจัดเป็นศูนย์ฝึกอบรม บนพื้นที่ทำงานขนาด 10,000 ตารางเมตร รวมถึงมีการติดตั้งเครื่องจักรใหม่ๆ ที่โรงงานพัฒน์กลแมนนูแฟคเจอริ่ง จังหวัดเพชรบุรี โดยในแถบภูมิภาคอาเซียนเราได้มีการตั้งสำนักงานธุรกิจในประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และพม่า โดยมีทั้งวิศวกรและทีมงานธุรกิจคนไทยและคนท้องถิ่นร่วมกันทำงาน และประเทศกัมพูชาและลาวที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย เนื่องด้วยบริษัทฯ เองมีความเชื่อมั่นในสมาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากในภูมิภาคอาเซียนเองนั้นมีประชากรรวมกันเกือบ 700 ล้านคน เมื่อเทียบกับประชากรในประเทศไทยกว่า 60 ล้านคน จะเห็นได้ว่าเรายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะเราเป็นผู้นำในตลาดที่มีความชำนาญมากว่า 50 ปี โดยเราเป็นบริษัทไทยที่มีเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพระดับโลก และมีการจดสิทธิบัตรเป็นจำนวนมาก เรามีหน่วยงานพัฒนาเทคนิคและสร้างเครื่องจักรที่ทำงานประจำตลอดเวลา และเรามีวิสัยทัศน์ คือ "พัฒน์กลนำเสนอวิศวกรรมฉันท์มิตรในกระบวนการผลิตอาหาร ระบบทำความเย็น และเครื่องทำน้ำแข็งของโลก" ในการบุกตลาดต่างประเทศนั้นพัฒน์กลใช้ Model ทางธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยนำไปขยายผลในประเทศอื่นๆ เพื่อให้มีมาตรฐานและความชำนาญ แต่สิ่งที่สำคัญคือได้มีการปรับกลยุทธ์ต่างๆให้เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมของประเทศนั้นๆ ซึ่งเราเองมี Partner เป็นนักธุรกิจในประเทศเหล่านั้นด้วย รวมถึงเราได้เน้นให้มีการบริการทั้งก่อนและหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้าได้รับสินค้าและบริการเหมือนกับที่เราทำในประเทศไทย โดยเราเรียกว่านโยบายนี้ว่า "เอาของดีไปขยายในพื้นที่ใหม่" โดยมีทีมงาน One Team One Country 1 ทีม 1 ประเทศ เพื่อให้มีความชำนาญในแต่ละประเทศ และไม่เพียงแต่การขยายตลาดไปยังภูมิภาคอาเซียนเท่านั้น เรามีสำนักงานตัวแทนดูแลในประเทศอเมริกา ออสเตรเลีย ยุโรป และญี่ปุ่น รวมทั้งตะวันออกกลางและแอฟริกา เรียกว่าเราทำธุรกิจไปทั่วโลกกว่า 50 ประเทศทั่วทุกทวีป"
ทั้งนี้ บมจ. พัฒน์กล มั่นใจว่าปัจจุบันบริษัทฯ มีความพร้อมที่จะกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศอีกครั้ง ในวันที่ 28 ก.ค.2558 นี้ เพราะแม้จะอยู่ในช่วงฟื้นฟูกิจการก็ยังมีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัจจัยลบจากทั้งปัญหาการเมือง การชุมนุมประท้วง และปัญหาน้ำท่วม แต่รายได้ของบริษัทยังสามารถเติบโตได้ โดยผลประกอบการในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมจากธุรกิจหลัก 862 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 เทียบกับงวดเดียวกันปี 2557 โดยมีกำไรสุทธิรวม 16 ล้านบาท ในด้านความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน ณ 31 มีนาคม 2558 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 3,085 ล้านบาท หนี้สินรวม 1,978 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 1,001 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนตามงบการเงินเฉพาะกิจการ เพียง 1.5 เท่า และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนตามงบการเงินรวม เพียง 1.7 เท่า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางด้านการเงินของบริษัทในปัจจุบัน