ประธานประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
สาวๆ สมัยนี้ต่างก็อยากมีผิวขาวใส ไร้สิว ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีการดูแลที่แตกต่างกัน แต่เคยได้ยินเรื่องของการกินยาคุมกำเนิดเพื่อป้องกันสิวไหม วิธีนี้จะช่วยได้จริงหรือไม่ แล้วปัญหาเรื่องผลข้างเคียงมีไหม ประเด็นนี้เป็นกระแสฮอตฮิตที่มาแรงในหมู่ผู้หญิงแท้ ผู้หญิงเทียม ที่ต่างก็ยกขบวนแห่ซื้อ "ยาคุมกำเนิด" มากินกันอุตลุด หวังผลพลอยได้ที่จะทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ไร้สิว หน้าใส ใบหน้าดูดีเกลี้ยงเกลา แถมหน้าอกหน้าใจยังตู้มสะโพกผายทอร์นาโด อีกซะด้วย!
(ล้อมกรอบ)
“หนูเคยรักษาสิวด้วยการกินยาคุม บอกได้เลยค่ะว่า มันได้ผลดีมาก สภาพผิวหน้าเราตอนนั้นเป็นสิวอักเสบ อุดตัน หน้ามันมาก (เน้นเสียง) รูขุมขนกว้าง แต่งหน้าไม่ติด หน้ามันขั้นเทพ แต่พอกินยาคุม ประมาณ 3-4 เดือน สิวยุบ ดีกว่าการไปหาหมอผิวหนังรักษาสิวอีกนะ ประหยัดกว่าด้วย พี่คิดดูยาคุมแผงละ 200 กว่าบาท แต่หาหมอทีครั้งนึงเป็นพัน”
อีกความเห็นหนึ่ง
“เพื่อน ๆ หนูกินกันทั้งนั้นแหล่ะพี่ บางคนกินตั้งแต่มัธยม พอหยุดกินสิวก็บุก ต้องกลับมากินใหม่ กลายเป็นติดยาคุมไปเลย" ยิ่งตอกย้ำความแรงของยาคุมในหมู่วัยรุ่นจริงๆ”
จากคำบอกเล่าของสาว ๆ ที่กินยาคุมกำเนิด เพื่อหวังผลเรื่องผิวพรรณ หน้าตาเปล่งปลั่งนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากความแน่ใจ แต่เพราะเชื่อจากคำบอกเล่าจากเพื่อนๆ หรือได้รับคำแนะนำจากร้านค้าหรือศึกษาด้วยตนเองจากเว็บไซต์ หรือโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทำให้เกิดข้อสงสัยในหลาย ๆ ประเด็น ซึ่งยาคุมกำเนิดในปัจจุบันมีหลายประเภท ได้แก่ ยาคุมกำเนิดชนิดรวม (combined pills) คือ ยาทุกเม็ดจะมีส่วนประกอบของเอสโตรเจน (estrogen) และโปรเจสเตอโรน (progesterone) ในขนาดเท่ากันทุกเม็ด โดยมีอยู่ 21 เม็ด ส่วนยาคุมชนิด 28 เม็ด อีก 7 เม็ด จะเป็น วิตามิน แป้ง หรือ ธาตุเหล็ก (ferrous fumarate ) ซึ่งเป็นยาคุมที่นิยมใช้กันมากที่สุด อีกประเภทหนึ่ง คือ ยาคุมกำเนิดเลียนแบบธรรมชาติ (sequential pills) ยาชุดหนึ่ง 15-16 เม็ดแรก ประกอบด้วยเอสโตรเจนอย่างเดียว ส่วน 4-5 เม็ดหลังจะมีทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ทั้งนี้เพื่อเลียนแบบธรรมชาติ แต่ปัจจุบันนี้ไม่ใช้ยาคุมกำเนิดเลียนแบบธรรมชาติแล้ว เนื่องจากเกิดอาการข้างเคียงมาก และประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดไม่แน่นอน
ส่วน Mini pills ยาทุกเม็ดประกอบด้วยโปรเจสเตอโรนอย่างเดียวในขนาดน้อยมาก ส่วนใหญ่ใช้รักษาความผิดปกติของประจำเดือน หรือรับประทานเวลาต้องการเลื่อนประจำเดือน และ Postcoital or morning after pills เป็นยาคุมกำเนิดชั่วคราวที่ใช้ระยะสั้น หลังจากมีเพศสัมพันธ์และกันไม่ให้ตั้งครรภ์ ชนิดนี้มีฮอร์โมนสูง ไม่ควรใช้บ่อย ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ เนื่องจากยาคุมมีหลายอย่างเพราะฉะนั้นจะบอกว่ายาคุมทุกชนิด ทำให้ผิวพรรณดีขึ้นก็ไม่ถูกต้อง หากฮอร์โมนเอสโตรเจนเยอะ แน่นอนจะทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง แต่ในขณะเดียวกันอาจจะทำให้เกิดฝ้า และมะเร็งเต้านมได้
การใช้เอสโตรเจนเดี่ยว ๆ ก็มีผลทำให้ผนังมดลูกหนาตัวมากไป ทำให้โอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งทางระบบสืบพันธุ์ รวมทั้งเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมสูงขึ้น ส่วนโปรเจสเตอโรน เป็นตัวที่เป็นแอนตี้แอนโตรเจน ตัวนี้ทานเข้าไปจะเกิดการคั่งของน้ำ บวมน้ำ สังเกตว่าเวลามีประจำเดือน จะรู้สึกว่าตัวเราเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล หน้าอกใหญ่ขึ้น สะโพกผาย เพราะว่าน้ำคั่งขึ้นมานั่นเอง ฉะนั้นจะพูดว่า กินยาคุมแล้วผิวเปล่งปลั่งก็ไม่ได้ หรือจะบอกว่ากินยาคุมแล้วรักษาสิวก็ไม่ได้ กินยาคุมแล้วจะเกิดฝ้าก็ไม่ใช่ หรือ ทานยาคุมแล้วอ้วนก็ไม่ถูก อันนี้แล้วแต่ชนิดของยาคุมด้วย ซึ่งยาคุมกำเนิดบางชนิดตอบสนองได้ดีกับสิวที่เกิดจากฮอร์โมน
"เราต้องสังเกตด้วยว่าคนไข้มีสิวเกิดจากอะไร เกิดจากฮอร์โมนหรือไม่ เพราะการเกิดสิว มีสาเหตุหลายอย่าง เช่น เกิดจากต่อมไขมันทำงานเยอะเนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนกลุ่มแอนโดรเจนมากระตุ้น และมีการอุดตันที่ผิวหนัง แบคทีเรีย P.acne เพิ่มจำนวน เข้าไปทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งเราจะสังเกตว่าคนไข้มีสิวจากฮอร์โมนหรือไม่นั้น ข้อสังเกต คือ สิวมักจะเห่อทุกรอบเดือนช่วงประจำเดือนมาจะมีสิวมาก พอประจำเดือนหมดสิวก็ยุบพอประจำเดือนมาสิวก็เยอะอีกสิวพวกนี้จะตอบสนองจากฮอร์โมนค่อนข้างดี” หรือผู้ที่มีลักษณะของฮอร์โมนเพศชายเยอะ มีหนวด ขนยาว สิวรักษาไม่ค่อยตอบสนองกับการรักษาทั่วไป ประจำเดือนไม่ปกติ อาจจะเป็นถุงน้ำในรังไข่ Polycytic ovarian syndrome (PCOS) กลุ่มนี้ก็ตอบสนองต่อยาคุมดี
ผศ.พญ.สุวิรากรกล่าวว่า เรื่องที่จะทำให้มีผิวขาวใส ไม่มีสิว อยู่ที่การดูแล เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิว หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ใช้ครีมกันแดด สวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิว สวมหมวก หรือกางร่มช่วยกันแดด รับประทานอาหารจำพวกผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ๆ ดื่มน้ำมาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่เครียด ไม่สูบบุหรี่ หรืออยู่ในที่มีผู้สูบบุหรี่เยอะ ดูแลระบบขับถ่าย ให้ปกติ ก็จะมีผิวสวยใสได้ โดยไม่ต้องใช้ยาคุม
ยาคุมกำเนิดเป็นข้อบ่งชี้ที่ทำมาเพื่อคุมกำเนิด แต่ผลข้างเคียงที่มีประโยชน์คือ ช่วยรักษาสิว ลดอาการปวดท้องก่อนมีประจำเดือนได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนทานได้ กลุ่มคนที่ไม่ควรยุ่งกับยาคุมกำเนิดเลย คือ คนที่มีโรคประจำตัวประเภทโรคเลือด ที่มีการแข็งตัวผิดปกติ คนที่เป็นไมเกรนแบบมากๆ โรคตับ โรคไต มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก คนที่ตั้งครรภ์ เพราะฉะนั้นไม่ควรเสี่ยงซื้อยาคุมกำเนิดกินเอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
แพทย์จะพิจารณาใช้ยาคุมกำเนิดรักษาสิว ในรายที่ มีลักษณะคล้ายผู้ชาย มีขน หนวด ประจำเดือนเยอะ เราอาจจะพิจารณาใช้ยาคุมกำเนิดรักษา แต่ไม่ได้เป็นยาอันดับแรกที่หมอจะเลือก ซึ่งจะพิจารณาในรายที่เขาอยากจะคุมกำเนิดอยู่แล้ว และลักษณะเพศชายเยอะ มีสิวขึ้นทุกรอบเดือน ใช้ยาทา และกินยาปฎิชีวนะก็ไม่ดีขึ้น ถึงจะให้กินยาคุมกำเนิด แต่การกินยาคุมนั้นจะไม่เห็นผลว่าสิวยุบในเดือนแรก ต้องเริ่มกินไปสัก 2-3 เดือน จะเห็นว่าสิวเริ่มลดลง ผิวดีขึ้น เพราะต่อมไขมันจะค่อย ๆ ทำงานน้อยลง ดังนั้นหน้าจะมันน้อยลงด้วย แต่ไม่ใช่จะมีอาการหน้าแห้งเหมือนกิน โรแอคคิวเทน(Roaccutane) หรือกรดวิตามินเอ ซึ่งจะไปลดการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้การอุดตันลดลงและการอักเสบลดลงด้วย โดยไม่ได้ไปปรับฮอร์โมน แต่มีข้อเสียที่น่ากลัว คือ ถ้ากินแล้วหากเกิดการตั้งครรภ์โอกาสที่เด็กจะพิการมีค่อนข้างสูง หากกินอยู่และอยากจะตั้งครรภ์ต้องหยุดกินอย่างน้อย 1 เดือน และยังมีผลข้างเคียงต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายด้วย จึงจัดอยู่ในพวกยาอันตราย ต้องจ่ายยาโดยแพทย์เท่านั้น
ยาคุมกำเนิดมีผลข้างเคียงได้ และผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ อาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ น้ำหนักตัวเพิ่ม ปวดศีรษะแบบไมเกรน ยาคุมกำเนิดบางชนิดทำให้สิวเห่อขึ้นได้ บางชนิดเป็นฝ้า บางคนกินแล้วประจำเดือนมากระปริดกระปรอย โดยเฉพาะที่ผู้ที่กินยาไม่ครบ บางคนกินยาคุมแล้วมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ได้แก่ เกิดอาการซึมเศร้า วิตกกังวลมากขึ้น เป็นผลมาจากโปรเจสโตเจนสูง อาการข้างเคียงที่รุนแรงแต่พบไม่บ่อย คือ เส้นเลือดอุดตันDeep vein thrombosis และมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมสูงขึ้นกว่าผู้ที่ไม่ได้กินยาคุมกำเนิด
นอกจากนี้ยาคุมกำเนิดยังมีผลต่อยาหลาย ๆ ตัว เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาละลายลิ่มเลือด และยาหลายตัวก็มีผลต่อยาคุมกำเนิดเช่นกัน คือทำให้ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดลดลง สรุปว่ายาคุมกำเนิดบางประเภทลดสิวได้จริง แต่กินมากไปก็ไม่ดี ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรน่าจะดีที่สุด