ทั้งนี้เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาราคาทองคำในประเทศปรับตัวขึ้น1,050บาทต่อบาททองคำ หรือ 5.77% โดยเหวี่ยงตัวในระดับ1,550บาทต่อบาททองคำ หรือ8.51%จากราคาเปิดที่18,200บาทต่อบาททองคำซึ่งราคาทองคำในประเทศนั้นได้ ปรับตัวขึ้นมากกว่าราคาทองคำในตลาดโลก โดยได้อานิสงค์จากการอ่อนค่าของค่าเงินบาทไทยด้วย ขณะที่ภาพรวมราคาทองคำตลาดโลกมีการปรับตัวขึ้น 39.24ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ3.58% โดยเหวี่ยงตัวในระดับ87ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ7.60% จากราคาเปิดที่ 1,094.86ดอลลาร์ต่อออนซ์
นางพวรรณ์ กล่าวว่า ในเดือนกันยายนนี้ปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตาม คือการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ในวันที่ 16-17 กันยายนที่จะถึงนี้ ว่าเฟดจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่ โดยวายแอลจีมอง2 ประเด็น คือฝั่งที่สนับสนุนให้เฟดมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ให้เหตุผลว่าจะทำให้เสถียรภาพทางการเงินต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีขึ้น โดยที่ผ่านมาตัวเลขทางเศรษฐกิจส่งสัญญาณที่ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานที่เริ่มอยู่ในระดบต่ำบ่งบอกการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี แต่หากยังปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละศูนย์จะทำให้สินเชื่อเติบโตเร็วจนเกินไป จนทำให้อาจเกิดฟองสบู่เศรษฐกิจแตกและต้องขึ้นดอกเบี้ยแบบก้าวกระโดดซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจมากกว่า
ขณะที่ทางฝั่งที่ต้องการให้ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีเหตุผลว่าหากเฟดรีบขึ้นดอกเบี้ยในช่วงนี้แล้วเศรษฐกิจสหรัฐฯเกิดสะดุดขึ้นมาอีก จะเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจมากกว่า จนสุดท้าย เฟดก็ต้องกลับมาทำ QE อีกรอบจะเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจอย่างมาก นอกจากนี้เศรษฐกิจจีนเกิดการชะลอตัว ซึ่งจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐ หากเฟดขึ้นดอกเบี้ยในช่วงนี้จะกระทบต่อเศรษฐกิจของจีนอย่างมาก รวมถึงประเทศอื่นจะได้รับผลกระทบตามไปด้วยอีกมากมาย ซึ่งประเด็นนี้เฟดได้เตรียมแผนรับมือไว้หรือยัง
นางพวรรณ์ กล่าวว่า วายแอลจีมองว่าหากที่ประชุมดังกล่าวมีการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลให้ราคาทองคำร่วงลงหลุดระดับ1,070-1,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากเฟดยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับร้อยละศูนย์เหมือนเดิมจะส่งให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในทันที คาดว่าราคาทองคำในตลาดโลกมีโอกาสไปทดสอบระดับ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นอกจากนี้ยังต้องจับตาดูตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะตัวเลขในตลาดแรงงาน และตัวเลขดัชนีต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศนั้นยังต้องติดตามค่าเงินบาท ที่ยังคงแนวโน้มการอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน นักลงทุนอาจต้องเก็งกำไรในกรอบไปก่อนจนกว่าจะมี ความชัดเจนเกิดขึ้นในเรื่องดอกเบี้ยนโยบายของเฟด และหากราคาปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้าน1,180-1,200ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ20,100-20,500บาทต่อบาททองคำ ต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรที่อาจเกิดขึ้นตามมา ขณะที่หากราคาทองคำอ่อนตัวลงมาในบริเวณ1,100-1,080ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ18,800-18,400บาทต่อบาททองคำอาจเข้าซื้อ และอาจต้องชะลอออกไปหากราคาหลุด1,050ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ18,000บาทต่อบาททองคำ