"บลจ.กสิกรไทยประเมินผลกระทบต่อตลาดในกรณีที่ FED ยังไม่ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ ว่าตลาดไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากตลาดได้ปรับตัวไปตามการคาดการณ์ส่วนใหญ่แล้ว ทั้งนี้ในภาพรวมอาจทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในระยะสั้น แต่ถ้าหากในกรณีที่ FED มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ อาจทำให้ตลาดเกิดความผันผวนสูงขึ้นกว่าระดับปัจจุบัน เนื่องจากถือว่าค่อนข้างเกินความคาดหมายของตลาด และจะส่งผลให้ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเกิดใหม่มีการปรับตัวลดลง และเม็ดเงินจะไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ ตราสารหนี้ หรือกลุ่มกองทุนตลาดเงินของประเทศพัฒนาแล้วอย่างเช่น สหรัฐฯ เยอรมัน ญี่ปุ่น เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องติดตามต่อไปภายหลังผลการประชุม คือ การส่งสัญญาณของ FED ว่าทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร ซึ่งถ้าเป็นการปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกก็น่าจะเบาบางลง" นายพงศ์พิเชษฐ์กล่าว
นายพงศ์พิเชษฐ์กล่าวต่อว่า สำหรับมุมมองการลงทุนของบลจ.กสิกรไทย ในภาวะที่ตลาดยังคงมีความไม่แน่นอนนี้ มองว่าตัวแปรสำคัญอยู่ที่ตัวเลขเศรษฐกิจของจีน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้มาตรการของรัฐบาลจีนที่ยังมีความไม่แน่ชัด จะส่งผลให้ตลาดมีการปรับเปลี่ยนมุมมองและการคาดการณ์ต่างๆ อยู่ตลอด และจะทำให้บรรยากาศการลงทุนในภาพรวมยังปกคลุมไปด้วยความผันผวนและส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ต่างๆ ได้อีก อย่างไรก็ตาม บลจ.กสิกรไทยยังมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นยุโรป ญี่ปุ่น และอินเดียในระยะยาว และคาดว่าจะได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นตลาดที่มีปัจจัยส่งเสริมเฉพาะมาจากภายในประเทศ โดยเฉพาะการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่มีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ของตลาดประเทศเกิดใหม่ รวมถึงตราสารหนี้ประเภท High Yield Bond เช่นเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ น้ำมัน แนะนำให้ชะลอการลงทุน เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกยังอยู่ในระดับต่ำและยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ ที่จะทำให้ระดับราคาเพิ่มสูงขึ้น
ด้านตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น คาดว่าจะยังมีความผันผวนค่อนข้างสูง โดยมองว่าดัชนีหุ้นไทยสามารถปรับตัวลงต่ำสุดที่กรอบระดับ 1,250- 1,280 จุด และสามารถปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,400 -1,450 จุด จนถึงสิ้นปี 2558 ซึ่งปัจจัยส่งเสริมหลักจะมาจากการตอบรับในเชิงบวกต่อแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ภายใต้การนำของดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งหากดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 สามารถเริ่มฟื้นตัวขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนระยะสั้นที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก แนะนำให้ชะลอการลงทุนในหุ้นไทย ส่วนผู้ลงทุนระยะกลางถึงยาวตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป อาจใช้จังหวะที่หุ้นปรับฐานลง สามารถทยอยเข้าซื้อหุ้นไทยเพิ่มเติมได้
ส่วนผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ หากต้องการลงทุนในระยะสั้นไม่เกิน 3 เดือน บลจ.กสิกรไทยขอแนะนำกองทุนในกลุ่มตลาดเงิน แต่ถ้าสามารถลงทุนได้ในระยะกลางถึงยาวตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ขอแนะนำกองทุน K-PLAN1 และกองทุน K-FIXED นอกจากนี้สำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าตราสารหนี้ แต่ยังต้องการลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว สามารถเลือกลงทุนกับกองทุน K-GA ที่มีการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้และหุ้นทั่วโลก โดยกองทุนจะมีการปรับสัดส่วนให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด จึงเหมาะกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนในช่วงนี้