นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ในขณะนี้มีหน่วยงานภาครัฐหลายภาคส่วนมีความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวโดยเริ่มขับเคลื่อนให้เห็นเป็นรูปธรรมแล้ว และคาดว่าภายในสัปดาห์นี้ทุกหน่วยงานจะประกาศความพร้อมและเริ่มขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งล่าสุดบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ได้ประกาศความพร้อมในการดำเนินมาตรการค้ำประกันสินเชื่อแบบ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5 (PGS5) ปรับปรุงใหม่ ตามมติคณะรัฐมนตรี 8 กันยายน 2558 ในวงเงินค้ำประกัน 1 แสนล้านบาท เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถได้รับสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจและช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงิน โดยคาดว่าจะช่วยให้ผู้ประกอบการSMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นกว่า 30,000 ราย
และก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินประมาณ 170,000 ล้านบาท
นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ ประธานกรรมการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย. พร้อมให้บริการค้ำประกันสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 5 ตามมติคณะรัฐมนตรี 8 กันยายน 2558 ซึ่งจะเอื้อประโยชน์กับผู้ประกอบการ SMEs เนื่องจากได้ปรับเกณฑ์การค้ำประกันให้ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งทุนง่ายขึ้น โดยช่วยปลดล็อกเปิดโอกาสผู้ที่เคยมีประวัติด้านการเงิน แต่มีศักยภาพในการชำระหนี้ ขณะเดียวกัน ภายใต้หลักเกณฑ์ใหม่นี้ จะทำให้ธนาคารมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่มีศักยภาพน้อยกว่าเกณฑ์ปกติได้มากขึ้น และเร็วขึ้นตามเจตนารมณ์ของภาครัฐ
นอกจากนี้ รัฐบาลยังช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ประกอบการ SMEs โดยเป็นผู้รับภาระค่าธรรมเนียมค้ำประกันให้กับผู้ประกอบการ SMEs ต่อเนื่อง 4 ปี โดยปีที่ 1 รัฐบาลจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 1.75% (ฟรีค่าธรรมเนียม) ส่วนปีที่ 2-4 รัฐบาลจ่ายค่าธรรมเนียมแทนผู้ประกอบการ SMEs ในอัตรา 1.25% , 0.75% และ 0.25% ตามลำดับ รวมคิดเป็นเงินชดเชยที่รัฐบาลจ่ายแทนผู้ประกอบการ SMEs ตลอด 4 ปี คิดเป็นเม็ดเงิน 4,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยเหลือภาระค่าธรรมเนียมแทนผู้ประกอบการ SMEs ที่สูงกว่าทุกครั้งที่ บสย. เคยดำเนินโครงการ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการ SMEs
การปรับเงื่อนไขการค้ำประกันใหม่ในครั้งนี้ บสย. จะรับภาระจ่ายค่าประกันชดเชยกรณีที่เป็นหนี้ NPGs ทั้งโครงการรวมทั้งสิ้นไม่เกินร้อยละ 30 ของภาระค้ำประกัน โดยแบ่งการจ่ายค่าประกันชดเชยเป็นสัดส่วนร้อยละ 100 ของผู้ประกอบการ SMEs แต่ละราย ในหนี้ NPGs 15% แรก ส่วนหนี้ NPGs ที่เกินกว่า 15% แต่ไม่เกิน 30% บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยร้อยละ 50 ของการค้ำประกันแต่ละรายทำให้การจ่ายค่าประกันชดเชยของโครงการดังกล่าวสูงสุดไม่เกินร้อยละ 22.5 ตลอดระยะเวลาโครงการ
"เรามั่นใจว่า ภายใต้โครงการค้ำประกันใหม่นี้ จะทำให้ บสย. สามารถช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น โดยคาดว่า บสย. จะอนุมัติการค้ำประกันได้เฉลี่ยในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ เดือนละ 8,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 60% จากยอดการค้ำประกันปกติที่อนุมัติเพียงประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 8,000 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนสุดท้ายที่เหลือของปีนี้"
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า โครงการค้ำประกัน PGS5 ปรับปรุงใหม่ ตามมติครม.8 กันยายน2558 ของบสย.ในวงเงิน 100,000 ล้านบาทในครั้งนี้ จะช่วยทำให้สถาบันการเงินต่างๆ มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นที่จะปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และลดความกังวลในปริมาณ NPL ของ ผู้ประกอบการSMEs ที่เพิ่มขึ้นจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกเพราะมี บสย. มาเป็นกลไกในการบริหารความเสี่ยงให้ โดยขณะนี้ธนาคารต่างๆ มีความพร้อมในการรับคำขอสินเชื่อจากผู้ประกอบการ SMEs ที่จะใช้บริการค้ำประกันของ บสย. โดยมั่นใจว่ามาตรการนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินในระบบ เพื่อจะผลักดันให้ระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อไปได้