นางสาวอัญชลี สืบจันทศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ LST ผู้ประกอบธุรกิจหลักในด้านการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์ม, ไขมันพืชผสม และเนยเทียมเปิดเผยถึงภาพรวม สถานการณ์ปาล์มในประเทศไทย ว่าได้รับผลกระทบ จากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้การบริโภคน้ำมันปาล์มลดลง ส่งผลสต็อคน้ำมันล้น ขณะที่การประกาศของคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) กำหนดให้รับซื้อผลปาล์มทะลายและผลปาล์มร่วงในราคาเดียวกัน ไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 4.20 บาท ปัจจุบันอยู่ที่ 3.20 บาท ณ หน้าโรงสกัดน้ำมันปาล์มและจุดรับซื้อในพื้นที่ รวมทั้งกำหนดให้โรงกลั่นฯ โรงผลิตไบโอดีเซล และผู้รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบทั่วไปรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบในราคาไม่ต่ำกว่า กิโลกรัมละ 26.20 บาท ปัจจุบันอยู่ที่ 20.30 บาท การประกาศดังกล่าวทำให้ไทยสูญเสียศักยภาพในการส่งออกน้ำมันดิบ ซึ่งในปี 2557 มีจำนวนมากถึง 167,060 ตัน
ดังนั้น เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2558 องค์การคลังสินค้า ได้ออกประกาศรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ ปี 2558 ตามมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม จากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบปริมาณ 100,000 ตัน เพื่อดูดซับปริมาณน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินออกจากระบบ เนื่องจากปริมาณสต็อคน้ำมันปาล์มดิบทั้งประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก เดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งมีประมาณ 155,870 ตัน เป็น 384,798 ตัน ในเดือน พ.ค.2558 โดยมีระยะเวลารับซื้อน้ำมันปาล์มดิบตั้งแต่เดือน มิ.ย.–พ.ย. 2558 มีระยะเวลาระบายจำหน่ายและระยะเวลาโครงการตั้งแต่เดือน มิ.ย.-มี.ค.2559
"สำหรับทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย ทำให้การบริโภคลดลง ห้างสรรพสินค้าจัดรายการโปรโมชั่นไม่ได้รับผลตอบรับที่ดี ดีมานด์ลดลง ส่งผลต่อปริมาณการขายลดลง ในส่วนของพ่อค้าน้ำมันก็ลดสต็อคสินค้าลงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วในช่วงไตรมาส 3 จะเป็นช่วงที่ยอดขายชะลอตัวอยู่แล้ว ต้องมาลุ้นในช่วงไตรมาส 4 ที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ในอดีตที่ผ่านมาเวลาห้างสรรพสินค้าจัดโปรโมชั่นลดราคา ผู้บริโภคจะซื้อน้ำมันไปเก็บไว้ แต่ปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคประหยัดและระวังการใช้จ่ายมากขึ้น จึงไม่ซื้อสินค้าน้ำมันไปกักตุนไว้ ยอมรับว่ามีผลกระทบต่อยอดขายในปีนี้" นางสาวอัญชลี กล่าว
นางสาวอัญชลี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้บริษัทฯ มีการลงทุนซื้อเครื่องจักรบรรจุใหม่ทดแทนเครื่องจักรเดิม ซึ่งบางเครื่องมีอายุการใช้งานมานานกว่า 30 ปี นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในเครื่องผลิตขวดบรรจุน้ำมันพืช โดยใช้งบลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท คาดว่ากระบวนการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรดังกล่าวจะทะยอยแล้วเสร็จภายในช่วง ไตรมาส 4 ปีนี้ ถึงไตรมาส 1 ปีหน้า ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้กับบริษัทฯ มากขึ้น สามารถเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีกร้อยละ 40 สำหรับในปี 2558 ด้วยสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว คาดว่าปริมาณขายในปีนี้จะทรงตัว ทั้งนี้ บริษัทฯคาดว่ารายได้ปีนี้จะลดลงเนื่องจากราคาวัตถุดิบปรับตัวลดลง
ปัจจุบันโครงสร้างรายได้ของ LST ส่วนใหญ่มาจากการขายน้ำมันพืชของบริษัทฯ ร้อยละ 67 และรายได้จากบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) หรือ UPOIC มีสัดส่วนร้อยละ 5 และบริษัทอาหารสากล (UFC) มีสัดส่วนรายได้ร้อยละ 23
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ได้ แก่ ลาว, พม่า, เขมร ส่วนเวียตนามนั้นบริษัทฯ ในกลุ่มได้ไปลงทุนไว้ก่อนแล้ว เพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน (AEC)
ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้อยู่ที่ 4,324 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 4,407 ล้านบาท ลดลง 83 ล้านบาท หรือลดลง 1.8% กำไรสุทธิอยู่ที่ 199.7 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 262.7 ล้านบาท ลดลง 63 ล้านบาท หรือลดลง 23.9%