? นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (KOOL) เปิดเผยว่า มีความเชื่อมั่นว่าเมื่อหุ้น KOOL ที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 23 กันยายน 2558 จะได้รับการตอบรับอย่างคึกคัก และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนที่จองซื้อหุ้น โดยที่ผ่านมากระแสตอบรับในช่วงเปิดขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นในอนาคตธุรกิจของ KOOL จะขยายตัวได้อีกมาก เพราะบริษัทดำเนินธุรกิจด้านการจัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความเย็น อาทิ พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะพัดลมไอเย็นที่ถือว่าเป็นสินค้าใหม่ที่เปิดตัวได้ไม่นาน ซึ่งสามารถเข้ามาเป็นตัวเลือกในการทำความเย็นเพิ่มขึ้น จากเดิมที่มีเพียง แอร์ และพัดลม และหลังจากที่ได้เงิน IPO แล้ว ก็จะช่วยให้พัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลาย และเข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
"หลังจากที่ได้เงินจากการระดมทุนเข้ามา เราจะนำไปใช้ขยายคลังสินค้า เพื่อรองรับการผลิตสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นตามความต้องการของลูกค้า และนำไปใช้ในการพัฒนาตัวสินค้าให้มีความทันสมัย และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ก็จะนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจ โดยเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO 120 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ1.80 บาท จะทำให้ได้เงินมาประมาณ 216 ล้านบาทจะนำไปการขยายธุรกิจทั้งหมดเพื่อขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยไม่มีการแบ่งไปชำระหนี้แต่อย่างใด เพราะบริษัทไม่มีหนี้สินระยะยาว" นายนพชัย กล่าวในที่สุด
ด้านนางสาวสุธางค์ คนศิลป กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (KOOL) กล่าวว่า มีความมั่นใจว่าหุ้น KOOL ที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 23 ก.ย.นี้ ราคาหุ้นจะสามารถยืนเหนือราคาจองซื้อที่ 1.80 บาท เพราะช่วงที่เปิดให้จองซื้อหุ้นปรากฎว่ามีนักลงทุนตอบรับดีเกินคาด คาดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะการกำหนดราคา IPO ที่เหมาะสม และมีส่วนลดให้สูงถึง 45% เมื่อเปรียบเทียบกับ PER ของตลาดหลักทรัพย์ mai โดยคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 4ไตรมาสล่าสุด ถือเป็นราคาที่นักลงทุนสนใจอย่างมาก ประกอบกับ KOOL เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี สามารถทำตลาดได้ทั้งในและต่างประเทศเกือบ 40 ประเทศ โดยยอดขายเติบโตควบคู่กันทุกปี โดยที่ 3 ปีที่ผ่านมารายได้เติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 40% ขณะที่ 6 เดือนแรกของปีนี้รายได้เติบโตขึ้นประมาณ 40% และในส่วนของตลาดต่างประเทศนั้นล่าสุดมีสัดส่วนรายได้ที่ประมาณ 14% ดังนั้นจึงเชื่อมั่นว่าหุ้น KOOL จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องหลังจากเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ไปแล้ว