ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นับจากอดีตการเติบโตและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีภาคอุตสาหกรรมเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ นำมาซึ่งการสร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยอาจจะยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับด้านสิ่งแวดล้อม และสังคมเท่าที่ควร ทำให้การพัฒนาหรือการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมักจะได้รับการต่อต้านจากภาคประชาสังคม โดยมองว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมจะเป็นการส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสังคมในด้านลบ
ปัจจุบันการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งการแข่งขันด้านการตลาดด้านการยอมรับของสังคมและการเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) จึงมีความจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมไปพร้อมกันโดยการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนพร้อมกับสร้างจิตสำนึกของผู้ประกอบการในการพัฒนาอย่างยั่งยืนจึงนำมาซึ่งแนวคิดการพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ( Eco – Industry ) ซึ่งเป็นการผนวกรวมแนวคิดเชิงเศรษฐศาสตร์ ( Economy ) ที่มุ่งแสวงหาผลกำไรกับแนวความคิดเชิงนิเวศ ( Ecology ) ที่มุ่งเน้นการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลในระบบนิเวศให้ความสำคัญต่อการพึ่งพาอาศัยกันของสิ่งแวดล้อมชุมชนและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมการพัฒนาผู้ประกอบการ ดังนั้นเพื่อให้ทิศทางการดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์กระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ. 2559 – 2564 ให้มีความสอดคล้องตามกรอบแนวคิดแผนและนโยบายระดับต่างๆ ตลอดจนสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมนั้น จำเป็นจะต้องผลักดันให้ภาคการผลิตมีความสมดุล มั่นคง และยั่งยืน ซึ่งการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับศักยภาพพื้นฐานของประเทศ โดยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และนวัตกรรม มาประยุกต์ใช้ จะก่อให้เกิดการเพิ่มผลิตภาพ มูลค่า และมาตรฐาน รวมถึงพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการให้มีความเข็มแข็ง และแข่งขันได้ในเวทีโลก ซึ่งสามารถทำได้โดยการพัฒนาปัจจัยสนับสนุน ทั้งในด้านกฎหมายและกฎระเบียบ การอำนวยความสะดวกในการประกอบกิจการ การรวมกลุ่มคลัสเตอร์ และบูรณาการนโยบายแผนงานกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเอื้อให้เกิดการลงทุนและลดอุปสรรคในธุรกิจอุตสาหกรรม นอกจากนี้การส่งเสริมสถานประกอบการที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม จะอาศัยการกำกับดูแลอย่างทั่วถึง การถ่ายทอดองค์ความรู้และการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนเป็นกลไกในการขับเคลื่อน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ การพัฒนาองค์กรและบุคลากรของกระทรวงอุตสาหกรรมให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการอย่างต่อเนื่อง
โดยยุทธศาสตร์กระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ. 2559 – 2564 ได้กำหนด 4 ข้อหลัก ได้แก่ 1.การปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อเพิ่มศักยภาพของภาคอุตสาหกรรม 2.การพัฒนาปัจจัยสนับสนุนให้เอื้อต่อการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรม 3.การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม และ 4.การพัฒนาสมรรถนะองค์กร ซึ่งการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์กระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ. 2559 – 2564 ไปสู่การปฏิบัติ จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งจากภาครัฐ ทั้งภายในและนอกกระทรวงอุตสาหกรรม ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้สามารถบูรณาการความร่วมมือและดำเนินการ โดยยึดแนวทางของแผนยุทธ์ศาสตร์ฯ แปลงไปสู่แผนปฏิบัติการในระดับต่าง ๆ เพื่อก่อให้เกิดการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรม ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการทรัพยากร และการติดตามและประเมินผลอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะนำไปสู่ความสัมฤทธิ์ผลในการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมของประเทศในอนาคต
สำหรับการผลักดันขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์ที่ 3 การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรมได้ร่วมมือกับ สภาอุตสาหกรรมฯ ช่วยกันส่งเสริมและผลักดันโรงงานอุตสาหกรรมทุกประเภท ทุกขนาดอุตสาหกรรมทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก (SMEs) ซึ่งสภาอุตสาหกรรมฯ โดยสถาบันสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม ได้เล็งเห็นถึงการพัฒนาผู้ประกอบการสู่การผลิตที่เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงได้มีส่วนในการทำงานร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมหลายโครงการ เช่น การพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ(Eco Industrial Town) ในพื้นที่นำร่อง 15 จังหวัด โดยผลักดันภาคอุตสาหกรรมให้มีการประกอบกิจการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมุ่งสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสู่การเป็น "อุตสาหกรรมสีเขียว" ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ภาคอุตสาหกรรม โดยการผลักดันของสถาบันสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมฯ ให้ความสำคัญในการริเริ่มเป็นผู้นำในการผลิตที่มุ่งสู่ความยั่งยืน ได้เริ่มต้นจัดทำ "หลักเกณฑ์โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ" ขึ้น ตั้งแต่ปี 2557 โดยมีการนำร่องหลักเกณฑ์ไป 2 บริษัท และสามารถขยายผลในปี 2558 ได้อีก 37 บริษัท กระทรวงอุตสาหกรรมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสภาอุตสาหกรรมฯ จะผลักดันบริษัทสมาชิกให้เข้าสู่การรับรองโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ หรือ Eco Factory ได้อย่างต่อเนื่องตลอดไป" ดร.อรรชกา กล่าว
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับการสัมมนาวิชาการได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ความเข้าใจและประโยชน์ของการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและนำไปสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุขยั่งยืน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของประเทศให้ปรากฏเป็นรูปธรรม ซึ่งยังคงเน้นความต่อเนื่องในการพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ การนำเสนอถึงกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 รวมถึงการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมเพื่อรองรับข้อกีดกันทางการค้าของต่างประเทศ ตลอดจนเทคโนโลยีในการจัดการสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม
"สำหรับการสัมมนาในครั้งนี้ กำหนดจัดขึ้น 2 วัน ระหว่างวันที่ 1 - 2 ตุลาคม 2558 โดยจัดให้มีกิจกรรมให้ความรู้ความเข้าใจในประเด็นต่างๆ กับผู้เข้าร่วมสัมมนาฯ อาทิ เสวนาพิเศษ เรื่องความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมต่อการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน การบรรยายพิเศษ เรื่องกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ,แผนการจัดการกากอุตสาหกรรม พ.ศ. 2558-2562
รวมถึงข้อกำหนดและหลักเกณฑ์การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ กฎระเบียบและมาตรการส่งเสริมการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมเชิงนิเวศ การนำเสนอหลักการแนวคิดของต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ การนำเสนอผลงานทางวิศวกรรม นวัตกรรม และการจัดการอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน เป็นต้น รวมทั้งยังมีการจัดนิทรรศการด้านเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมที่ทันสมัยจากหน่วยงานต่างๆ ด้วย โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานสัมมนาจากภาครัฐ ผู้ประกอบการ สถาบันการศึกษา ภาคประชาชน และสื่อมวลชน ไม่ต่ำกว่า 800 คน" ประธาน ส.อ.ท. กล่าว