น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่า แนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากแต่ละกระทรวงและการเดินหน้าโครงการด้านพื้นฐานขนาดใหญ่ที่เร่งเปิดประมูลให้ทันภายในปีนี้ อาทิ โครงการรถไฟทางคู่ เส้นทางมอเตอร์เวย์ 3 สาย
นอกจากนี้ S&P คงอันดับเรตติ้งประเทศไทยไว้ที่ BBB+ จากมุมมองสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองและการประท้วงได้จบลงแล้ว และย้ำว่ายังให้น้ำหนักการติดตามผลสำเร็จโครงการลงทุนด้านการศึกษาและโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด ส่วนค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่องคาดว่าจะหนุนภาคการส่งออกในไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 มากขึ้น ส่วนปัจจัยที่น่าจับตาคือ นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ว่าธนาคารกลางจีนอาจจะปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสภาพคล่องระยะสั้นที่ตึงตัวอันเนื่องมาจากการแทรกแซงตลาดการเงินในช่วงที่ผ่านมา
ด้านนายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัด ประเมินกลยุทธ์การลงทุนใน SET ว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าคาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1,335 – 1,365 จุด เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นการลงทุน
ประกอบกับคาดว่านักลงทุนจะติดตามการ Preview งบไตรมาส 3/2558 ของกลุ่มธนาคาร ซึ่งเบื้องต้นคาดว่ากำไรจะชะลอตัวลงจากสินเชื่อหดตัวลง รวมถึงการตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้นตาม NPL ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ SCB KTB TISCO ที่มีการตั้งสำรองหนี้ SSI จำนวนมาก
อย่างไรก็ตามคาดว่า ครม.จะมีการอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยหนุนทิศทางการลงทุนในช่วงถัดไป จึงแนะนำ Selective Buy กลุ่มที่มีปัจจัยบวกรองรับ เช่น กลุ่มส่งออก เช่น อาหาร และ อิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยชูเลือก SIRI PS SPALI QH และ LPN เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม จากการที่รมว.คลังคาดจะสรุปมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ได้ภายใน 1 สัปดาห์
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ราคาทองคำเริ่มพักตัวลงอีกครั้งหลังจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐเ อาทิ GDP ขั้นสุดท้ายสำหรับช่วงไตรมาส 2/2558 ขยายตัว 3.9% สูงกว่าตัวเลขที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 3.7% และสูงกว่าคาดที่ระดับ 3.7% บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่ง ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกล่าสุดอยู่ที่ระดับ 277,000 ราย ซึ่งต่ำกว่าระดับ 300,000 รายเป็นเวลามากกว่า 6 เดือนแล้วยาวนานที่สุดในรอบกว่า 40 ปี และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง
ประกอบกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 103.0 ในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม ซึ่งบ่งชี้ว่าชาวสหรัฐไม่มีความวิตกต่อภาวะปั่นป่วนในตลาดโลก รวมถึงความกังวลทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดหลังจากนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณว่าเฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ตราบใดที่ภาวะเงินเฟ้อยังคงมีเสถียรภาพ และเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะหนุนการจ้างงาน ซึ่งทำให้นักลงทุนคาดว่าแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอาจเกิดขึ้นในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือในเดือนตุลาคมหรือเดือนธันวาคม ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อทองคำ
ดังนั้นประเมินแนวโน้มราคาทองโลกด้านเทคนิคราคาอยู่ในช่วงพักตัวลงหลังขึ้นมาตามแนวไหล่ขวาขึ้นมาใกล้จบรูปแบบหัวและไหล่ขาขึ้น ขณะที่ราคาปรับลงมาต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วัน ด้วยการสร้างแท่งเทียนขาลง BEARISH และค่าสัญญาณทางเทคนิคที่ปรับลงเป็นสัญญาณลบ ทำให้ราคาแนวโน้มจบรอบการขึ้นก่อนหน้าและมีโอกาสปรับลงต่อเพื่อสร้างแนวลงรูปแบบ DOUBLE TOP ตามมา โดยให้แนวรับ 1,105 – 1,100 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,145 -1,150 เหรียญต่อทรอยออนซ์