"การหยุดการผลิตของธุรกิจโรงถลุงเหล็กไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนของบริษัทฯ เนื่องจากยังมีวัตถุดิบเหล็กแท่งแบนสำรองอยู่ และสามารถจัดซื้อวัตถุดิบเหล็กแท่งแบนราคาถูกในตลาดได้"
อย่างไรก็ตาม SSI UK ได้ถูกกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่เรียกให้ชำระหนี้ที่ค้างอยู่ตามเงื่อนไขการกู้ยืมเงิน และส่งผลให้หนี้เงินกู้ยืมจากกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่ถึงกำหนดชำระทั้งหมดในทันที และกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่ได้เรียกให้บริษัทฯ เป็นผู้ชำระหนี้ของ SSI UK ในฐานะผู้ค้ำประกัน ทำให้บริษัทฯ ต้องรับรู้หนี้เงินกู้ยืมทั้งจำนวนของ SSI UK ด้วย ซึ่งบริษัทฯ ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ ต่อมา กลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่ได้ตัดสินใจเรียกให้บริษัทฯ ชำระหนี้ที่ค้างอยู่ตามเงื่อนไขการกู้ยืมเงิน เพิ่มเติมจากกรณีของ SSI UK เนื่องจากบริษัทฯ อยู่ในภาวะที่มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน และกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่จะใช้สิทธิในการเรียกภาระค้ำประกันจาก SSI UK ในฐานะผู้ค้ำประกันของบริษัทฯ อีกด้วย เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่
"สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินของบริษัทฯโดยตรง บริษัทฯและกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่ 3 รายจึงได้หารือเพื่อหาแนวทางในการรักษาธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนของบริษัทฯ ให้สามารถดำเนินการได้ตามปกติ และรักษามูลค่าทางธุรกิจของบริษัทฯ ไว้ รวมถึงคงไว้ซึ่งระดับความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัทฯ ให้มีอยู่ เพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดต่อพนักงาน ลูกค้า และคู่ค้าของบริษัทฯ โดยคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มติเห็นชอบให้บริษัทฯปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินโดยยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลในวันที่ 1 ตุลาคม 2558 และ อนุมัติให้บริษัทฯ เป็นผู้ทำแผนการฟื้นฟูกิจการ โดยในกรณีนี้ อำนาจ หน้าที่ และความรับผิดในฐานะผู้ทำแผนการฟื้นฟูกิจการตกเป็นของกรรมการของบริษัทฯ ที่มีชื่อตามหนังสือรับรอง โดยอนุมัติมอบอำนาจให้ นายวิน วิริยประไพกิจ หรือ นายณรงค์ฤทธิ์ โชตินุชิตตระกูล ในฐานะผู้บริหารของลูกหนี้ (บริษัทฯ) เป็นผู้ทำแผน"
ในการนี้ กลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่จะสนับสนุนให้บริษัทฯ บริหารงานต่อไป โดยจะพิจารณาให้การสนับสนุนวงเงินหมุนเวียนเพิ่มเติมตามสมควรเพื่อให้บริษัทฯ มีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ โดยให้ที่ปรึกษาทางการเงินทำหน้าที่ควบคุมเงินสด (Cash Monitoring) ของบริษัทฯ และกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่จะให้ความร่วมมือสร้างความเชื่อมั่นกับคู่ค้าของบริษัทฯในการดำเนินธุรกิจต่อไป
นายวินกล่าวอีกว่า"กลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่และบริษัทฯ ร่วมกันพิจารณาแล้วเห็นว่าการเข้าสู่ศาลฟื้นฟูกิจการ จะทำให้บริษัทฯ ได้รับการปรับปรุงแก้ไขสภาพคล่องทางการเงินให้ดีขึ้น เพียงพอต่อการสนับสนุนให้ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศไทย ดำเนินต่อไปได้อย่างมีเสถียรภาพ เนื่องจากราคาเหล็กแท่งแบนที่ลดลงมามาก ทำให้ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนมีความสามารถในการแข่งขันสูง และสามารถทำกำไรได้ดีโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products) ที่มีส่วนต่างราคาสูง รวมทั้งโอกาสในการขยายตลาดเพิ่มมากขึ้นจากการเจริญเติบโตของภูมิภาคอาเซียนที่มีปริมาณการบริโภคเหล็ก 60 ล้านตันต่อปีในปัจจุบัน และจะเติบโตไปเป็น 80 ล้านตันต่อปีภายในสามปีข้างหน้า ปริมาณความต้องการใช้เหล็กในประเทศที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันปริมาณการบริโภคเหล็กเฉลี่ยในไทยยังสูงอยู่ที่ 17 ล้านตันต่อปี รวมทั้งโครงการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ และโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ ที่ริเริ่มโดยรัฐบาล การใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ขยายตัวสูงขึ้น และการขยายตัวของหัวเมืองใหญ่ในประเทศ"