นายเจมส์ โรแลนด์ โจนส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีชชี่ วิลเล็จ จำกัด กล่าวว่า "แบรนด์พีชชี่ดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งหวังว่าเด็กไทยจะได้รับโภชนาการที่เหมาะสมตั้งแต่แรกเกิด เราเชื่อว่าการที่เด็กได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และถูกสุขลักษณะตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มในชีวิตจะส่งผลให้เด็กมีนิสัยการกินที่ดีไปตลอดชีวิต ส่งผลต่อพัฒนาการที่สมวัยและสุขภาพที่แข็งแรงนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปในอนาคต หลังจากที่เราได้ดำเนินธุรกิจแบรนด์พีชชี่จนได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคชาวไทย เราก็เริ่มให้ความสำคัญกับการตอบแทนคืนสู่สังคม และในฐานะที่ธุรกิจของเราเกี่ยวข้องกับโภชนาการเด็ก ประกอบกับเรามีองค์ความรู้ มีความเชี่ยวชาญ และมีพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง เราจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญในการดำเนินโครงการซีเอสอาร์ที่เกี่ยวข้องกับด้านโภชนาการ เราได้มีโอกาสทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและนักกำหนดอาหาร เราจึงพบว่าปัญหาด้านโภชนาการของเด็กไทยกำลังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ เพราะจากสถิติพบว่าปี พ.ศ. 2558 แนวโน้มความชุกของโรคอ้วนจะสูงถึง 1 ใน 5 ของเด็กวัยก่อนเรียน ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากการขาดความรู้เกี่ยวกับเรื่องสารอาหาร และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการบริโภคอย่างเหมาะสมของคุณพ่อคุณแม่ ผู้ซึ่งมีบทบาทในการเลือกอาหารให้ลูกตั้งแต่แรกเกิดจนถึงก่อนวัยเรียน ดังนั้น เราจึงได้ร่วมมือกับนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารจากภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในการริเริ่มโครงการ Feed For The Future ขึ้นมาด้วยงบประมาณกว่า 1 ล้านบาท"
โครงการนำร่อง Feed For The Future เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปลายปี 2557 เป็นต้นมา ด้วยการนำหลักสูตรโภชนศึกษาแนวใหม่ที่พัฒนาขึ้นไปจัดอบรมให้คุณแม่ตามศูนย์เด็กเล็ก 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนวัดไผ่ตัน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทีปังกรการุณยมิตร และศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก กรมการสารวัตรทหารบก ซึ่งหลักสูตรของโครงการ Feed For The Future จะเน้นสื่อการสอนที่จูงใจ ใช้สื่อภาพในการช่วยจำแทนตัวหนังสือ ใช้การอบรมโดยให้คุณแม่มีส่วนร่วมลงมือปฏิบัติ และสัมผัสประสบการณ์จริง เพื่อให้คุณแม่มีความเข้าใจในโภชนาการอย่างถูกต้อง และสามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ รวมถึงมีทัศนคติที่ดีต่อการกินอย่างถูกวิธี ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของโครงการนี้
"ทั้งนี้ หลังความสำเร็จของโครงการนำร่องในปีนี้ ทางแบรนด์พีชชี่มีการวางแผนที่จะขยายการดำเนินโครงการอบรมให้ความรู้คุณแม่ในศูนย์เด็กเล็กกว่า 20 แห่งทั่วประเทศในปีหน้า และทำการฝึกผู้อบรม (Train the Trainer) ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวน 6 คน เพื่อที่จะสามารถขยายโครงการได้ในวงกว้าง และสร้างเครือข่ายแม่ลูกสุขภาพดีภายในปีพ.ศ. 2560 พร้อมกันนี้ เรายังต้องการที่จะขยายโครงการให้ความรู้คุณแม่สู่ประชาชนทั่วไป เราจึงได้เปิดตัวหนังสือ "My first cook book + Nutrition guide" ซึ่งจัดทำขึ้นด้วยความร่วมมือจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นคู่มือเพื่อให้คำแนะนำด้านโภชนาการสำหรับทารกและเด็กเล็กตั้งแต่วัย 6 เดือนถึง 3 ปี มาพร้อมสูตรทำอาหารแสนง่ายมากกว่า 80 เมนู โดยแต่ละสูตรได้ปรับตามความเหมาะสมในการหาวัตถุดิบในประเทศไทย และสื่อด้วยภาพและสัญลักษณ์ช่วยให้เข้าใจง่าย เพื่อช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ให้ความสำคัญกับโภชนาการของลูกมากขึ้น โดยรายได้ทั้งหมดจากการจำหน่ายหนังสือเล่มนี้จะนำไปสมทบทุนในโครงการ Feed For The Future เพื่อดำเนินการตามแผนงานที่วางไว้ในปีหน้าด้วย" นายเจมส์ กล่าวเพิ่มเติม
ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และนักกำหนดอาหารวิชาชีพจากสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า "เพราะภาวะทุพโภชนาการในเด็กกำลังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย จากการสำรวจพบว่าในปีพ.ศ. 2555 เด็กไทยเสี่ยงเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 15 ในขณะที่ 1 ใน 5 ของเด็กก่อนวัยเรียนเป็นโรคอ้วนแต่กลับขาดสารอาหาร ซึ่งการได้รับโภชนาการที่ไม่ถูกต้องและไม่เพียงพอทำให้เสี่ยงต่อภาวะเชาวน์ปัญญาต่ำ และมีแนวโน้มส่งผลต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 3 ปี ดังนั้น เราจึงพยายามที่จะส่งต่อความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโภชนาการให้ผู้บริโภค เพื่อช่วยลดปัญหาดังกล่าวและเพิ่มสุขภาพที่ดีให้ประชาชนอย่างยั่งยืน ดังนั้น เราจึงคิดค้นและพัฒนาหลักสูตรการอบรมด้านโภชนาการให้ความรู้คุณพ่อคุณแม่แนวใหม่ ด้วยการใช้สื่อการสอนแบบรูปภาพแทนตำราตัวหนังสือ การให้คุณพ่อคุณแม่ได้ฝึกลงมือปฏิบัติจริง และวิธีประยุกต์ความรู้เข้ากับชีวิตประจำวัน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าแม่ที่เข้าร่วมโครงการ Feed For The Future ได้รับการอบรมมีระดับความรู้ทางด้านโภชนาการเด็กเล็ก ทัศนคติ และแบบแผนการกิน รวมถึงระดับสารอาหารของทั้งแม่และเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ รวมไปถึงตัวเด็กมีพัฒนาการด้านร่างกายตามเกณฑ์ในแต่ละวัยด้วย"
สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ Feed For The Future และคู่มือ My first cook book + Nutritionguide สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.peachy.co.th และ www.facebook.com/peachybabyfood