ด้านสถานการณ์ตลาดหุ้นยุโรปในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ปิดตลาดบวกได้เป็นส่วนใหญ่ โดยดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับขึ้น 0.2% ปิดที่ 381.79 จุด เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากกรณีธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ซึ่งส่งสัญญาณชัดเจนว่าอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ นอกจากนี้ตลาดยังได้ตอบรับเชิงบวกต่อกรณีข่าวของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ได้เตรียมพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 ธันวาคมนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อทิศทางตลาดหุ้นยุโรปในปี 2559 ให้สามารถเติบโตได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"บลจ.กสิกรไทยยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจยุโรปในระยะยาว โดยคาดว่าจะมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งปัจจัยบวกมาจากการดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของ ECB และการคงดอกเบี้ยในระดับต่ำ ที่จะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยุโรปจะสามารถขยายตัวได้ 1.6% ในปี 2559 นอกจากนี้หาก ECB มีการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือ QE เพิ่มเติมตามที่คาด จะยิ่งส่งผลดีต่อตลาดหุ้นยุโรปและเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ตั้งไว้อยู่ที่ระดับ 2% รวมถึงจะส่งผลทำให้ค่าเงินยูโรมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการการส่งออก" นายนาวินกล่าว
นายนาวินกล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตาม ในปี 2559 คาดว่าตลาดหุ้นยุโรปจะยังมีความผันผวนอยู่อย่างต่อเนื่องด้วย จากปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและสถานการณ์ที่ยังมีไม่ความไม่แน่นอน อาทิ การทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในปีหน้า สถานการณ์การเมืองและปัญหาความขัดแย้งในหลายภูมิภาค การชะลอตัวทางเศรษฐกิจและอุปสงค์ที่อ่อนแอของจีน ซึ่งถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของยุโรป ดังนั้นสำหรับผู้ลงทุนระยะสั้น ควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน ส่วนนักลงทุนระยะยาว อาจอาศัยจังหวะที่หุ้นปรับฐานลงมาแรงเพื่อเข้าซื้อเพิ่มเติมได้ เพื่อรับโอกาสเติบโตของผลกำไรจากหุ้นยุโรปในระยะยาว หรือสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวม ที่มีผู้จัดการกองทุนซึ่งมีประสบการณ์และเข้าใจหลักทรัพย์ที่ลงทุน มาช่วยบริหารพอร์ตการลงทุนให้เรา เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนมากนี้
"ปัจจุบันบลจ.กสิกรไทย มีกองทุน K-EUROPE ที่เน้นลงทุนในหุ้นยุโรป โดยจะลงทุนผ่านกองทุนหลัก Allianz Europe Equity Growth, Class AT-EUR ซึ่งบริหารจัดการโดยบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำระดับโลก ทั้งนี้จากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในกรุงปารีส แม้ว่าปัจจุบัน กองทุนจะมีสัดส่วนลงทุนในหุ้นฝรั่งเศสอยู่ประมาณ 16% และอาจมีผลกระทบโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวและการบริโภค แต่เนื่องจากกองทุน K-EUROPE ส่วนใหญ่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มไอทีและอุตสาหกรรมเป็นหลัก และมีหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเพียง 1% เท่านั้น จึงได้รับผลกระทบจำกัด อย่างไรก็ตามทางผู้จัดการกองทุนหลักยังคงไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนแต่อย่างใด เพราะมองว่าในระยะยาวยังไม่มีผลกระทบเชิงลบจากสถานการณ์ดังกล่าว" นายนาวินกล่าว
นายนาวินกล่าวต่อไปว่า ด้วยสไตล์การลงทุนของกองทุนหลักที่เน้นพอร์ตการลงทุนในระยะยาวตั้งแต่ 3-5 ปีขึ้นไป โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีที่มีอัตราการเติบโตสูงและมีรายได้หลักมาจากนอกภูมิภาคยุโรป โดยผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพสูง อาทิ พิจารณาจากความได้เปรียบเทียบด้านการแข่งขัน งบการเงินที่แข็งแกร่ง ความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี รวมถึงพิจารณาถึงมูลค่าหุ้นในระดับที่น่าสนใจด้วย ทั้งนี้กองทุน K-EUROPE สามารถสร้างผลการดำเนินงานย้อนหลังที่ดีและเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ -0.09% เปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ -2.57% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 20.48% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 16.28% และตั้งแต่ต้นปีให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 18.06% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 16.40% ขณะที่กองทุนมีประวัติการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมีการจ่ายปันผลแล้วทั้งหมด 7 ครั้ง รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1.50 บาทต่อหน่วย