ทั้งนี้ แผนการระดมทุนจะมาจากการออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมจำนวนประมาณ 224.30 ล้านหน่วย แบ่งเป็นเสนอขายให้กับผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหน่วยทรัสต์(Right Offering) จำนวน 140.95 ล้านหน่วยทรัสต์ โดยมีอัตราการให้สิทธิผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมเท่ากับ 2.43 หน่วยทรัสต์เดิม ต่อ 1 หน่วยทรัสต์ใหม่ มีระยะเวลาจองซื้อสำหรับผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายนถึง 4 ธันวาคม 2558 ส่วนที่จะเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป (Public Offering) จำนวนประมาณ 83.35 ล้านหน่วยทรัสต์ มีระยะเวลาจองซื้อสำหรับนักลงทุนทั่วไประหว่างวันที่ 8 ถึง 15 ธันวาคม 2558 ในราคาหน่วยละ 10 บาท รวมมูลค่า 2,243 ล้านบาท ส่วนเงินลงทุนส่วนที่เหลือจำนวน 961.29 ล้านบาทมาจากเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน
"การลงทุนเพิ่มในครั้งนี้ส่งผลทำให้มูลค่าทรัพย์สินของ TREIT มีขนาดใหญ่ขึ้นโดยเพิ่มเป็น 7,504 ล้านบาทซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับกองทรัสต์ในสายตาของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนการเพิ่มสภาพคล่องให้ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ TREIT ยังมีนโยบายจ่ายผลตอบแทนไม่น้อยกว่าปีละ 2 ครั้ง ในอัตราไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว" นายจรัสฤทธิ์กล่าว พร้อมเพิ่มเติมว่า
สำหรับแผนการเติบโตของ TREIT ในปี 2559 ไม่ได้จำกัดแค่การเพิ่มทุนจากทรัพย์สินของกลุ่มTICON เท่านั้น แต่ยังเปิดกว้างไปถึงทรัพย์สินที่อยู่นอกกลุ่มด้วยเช่นกัน เพราะบริษัทเป็นผู้จัดการกองทรัสต์ ที่มีการบริหารเชิงรุก ที่มองหาโอกาสในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพสูงทั้งในประเทศและนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการเพิ่มทุนเพื่อสร้างการเติบโตให้กับ TREIT แล้ว บริษัทยังมองหาโอกาสในการจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อลงทุนในทรัพย์สินประเภทอื่นด้วยเช่นกัน โดยในระยะแรกนี้โอกาสในการลงทุนของ TREIT คงมุ่งเน้นอยู่ในทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยเป็นหลักก่อน
ด้านนายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับทรัพย์สินที่ TREIT จะเข้าไปลงทุนเพิ่มเติมนั้นรวมจำนวน 53 ยูนิต มีพื้นที่ทั้งสิ้น 155,182 ตารางเมตร ได้แก่ คลังสินค้าของบริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด หรือทีพาร์ค คือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิทธิในการเช่าที่ดินจำนวน 46 ยูนิต พื้นที่ 133,282 ตารางเมตรส่วนอีก 7 ยูนิตนั้นเป็นโรงงานของบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือไทคอน คือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิทธิในการเช่า รวมพื้นที่ 21,900 ตารางเมตรโดยเป็นสัดส่วนคลังสินค้าประมาณ 86% และโรงงานประมาณ 14% และมีโครงสร้างของทรัพย์สินที่ลงทุนเป็นการลงทุนในกรรมสิทธิ์ (Freehold) ประมาณ 47% และเป็นการลงทุนในสิทธิการเช่า (Leasehold) ประมาณ 53%
"จุดเด่นของ TREIT คือ การมีทรัพย์สินตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ กระจายตัวอยู่ใน 16 ทำเลที่ตั้งซึ่งมีการคมนาคมสะดวก อาทิ ตั้งอยู่บนถนนสายหลักที่สามารถเชื่อมโยงไปยังภูมิภาคต่างๆ ขณะเดียวกันยังมีคุณภาพสูงเนื่องจากทรัพย์สินค่อนข้างใหม่ มีการออกแบบเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายตามความต้องการของผู้เช่า คลังสินค้ามีการออกแบบรองรับระบบการจัดการคลังสินค้าสมัยใหม่ โรงงานมีการก่อสร้างโดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์พื้นที่ใช้สอยสูงสุด นอกจากนี้ยังมีผู้เช่าที่เป็นบริษัทชั้นนำและฐานะการเงินมั่นคง จากในประเทศและต่างประเทศ และเป็นผู้ประกอบการในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ โลจิสติกส์ อุปโภคบริโภค เป็นต้น" นายวีรพันธ์ กล่าว
นายประเสริฐ ดีจงกิจ รองผู้จัดการอาวุโส และผู้จัดการ ฝ่ายทุนธนกิจ สายวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ กล่าวว่า มั่นใจการเพิ่มทุน TREIT ในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับจากการใช้สิทธิ์ของผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมและในส่วนของนักลงทุนทั่วไป จากศักยภาพของทรัพย์สินที่เข้าลงทุน พร้อมกับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการทรัพย์สินมายาวนานกว่า 25 ปี ของบริษัทไทคอน ซึ่งเป็นผู้นำด้านการพัฒนาโรงงานสำเร็จรูป และบริษัททีพาร์ค ผู้นำด้านการพัฒนาคลังสินค้าคุณภาพสูงเพื่อให้เช่าที่เป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ (Property Manager) ในการบริหารทรัพย์สินดังกล่าวให้เป็นไปตามเป้าหมายและเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ถือหน่วยทรัสต์นอกจากนี้แล้วนับตั้งแต่จัดตั้ง TREIT (เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2558) ยังสามารถจ่ายผลตอบแทนไปแล้วจำนวน 3 ครั้ง รวม 0.6859 บาทต่อหน่วยทรัสต์