ทั้งนี้ วายแอลจีมองว่าประเด็นหลักของทิศทางความเคลื่อนไหวของตลาดทองคำในขณะนี้ยังคงอยู่ที่การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FOMC) ในช่วงวันที่ 15-16 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งคาดการณ์กันว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากคงที่ในระดับ 0-0.25% มาเป็นระยะเวลายาวนาน ส่งผลให้ประเด็นอื่นๆที่อาจส่งผลต่อราคาทองคำถูกลดความสำคัญลงไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับราคาทองคำในประเทศยังคงมีปัจจัยค่าเงินบาทเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยในช่วงเดือนพฤศจิกายนนั้น (ณ วันที่ 27 พ.ย.58) ค่าเงินบาทอ่อนค่าไปเพียง 24 สตางค์ (ณ ราคาปัจจุบันที 35.86 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) จากการแข็งค่าของเงินสกุลดอลลาร์ ซึ่งไม่ทำให้ราคาทองคำในประเทศแตกต่างจากราคาทองคำต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
นางสาวฐิภา กล่าวว่า วายแอลจีประเมินว่าราคาทองคำจะยังคงถูกกดดันต่อไปจากกระแสอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งราคาทองคำได้สร้างแนวโน้มขาลงมาโดยตลอด เบื้องต้นประเมินแนวรับในช่วงเดือนธันวาคมของปีนี้ที่บริเวณ 1,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ ประมาณ17,800 บาทต่อบาททองคำ หากหลุดจะมีแนวรับสำคัญถัดไปในบริเวณ 1,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือประมาณ 16,900 บาทต่อบาททองคำ
โดยกลยุทธ์การลงทุนนั้นนักลงทุนระยะสั้นอาจต้องเน้นการเก็งกำไรในกรอบโดยใช้ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯประกอบการตัดสินใจลงทุน ขณะที่นักลงทุนระยะกลางถึงยาว อาจใช้แนวรับดังกล่าวข้างต้นเป็นจุดสะสมซื้อทองคำ โดยอาจชะลอการถือทองคำหากราคาหลุด 950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 16,100 บาทต่อบาททองคำ สำหรับแนวต้านประเมินที่ 1,100-1,140 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือประมาณ 18,600-19,300 บาทต่อบาททองคำ