นายธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเป็นทางการในปี 2558 นักธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมความพร้อม ปรับตัว และเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจหรืออุตสาหกรรมให้แข็งแกร่ง โดยนอกเหนือจากการสนับสนุนของภาครัฐ และความร่วมมือกันของภาคเอกชนแล้ว บทบาทของสถาบันการเงินไทยก็นับเป็นหน่วยงานสำคัญในการช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพด้านการแนะนำ รวมทั้งช่วยผลักดันธุรกิจให้พร้อมเติบโตหรือยืนหยัดในรูปแบบการค้า-การลงทุนแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ธนาคารกสิกรไทย จึงร่วมกับสำนักพิมพ์ Editions Didier Millet (EDM) จัดทำหนังสือ ASEAN+3 เพื่อให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับประเทศในกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ รวมถึงสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี แบ่งข้อมูลออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย ข้อมูลด้านประชากร (People) แสดงถึงความแตกต่างที่หลากหลายด้าน เช่น ประวัติศาสตร์ของประเทศนั้นๆ ภาพรวมประชากร วิถีชีวิต สังคมและขนบธรรมเนียมประเพณี รวมไปถึงเมืองสำคัญๆ ในแต่ละประเทศ ข้อมูลด้านการลงทุนด้านธุรกิจ (Business) บ่งบอกถึงประโยชน์ซึ่งแต่ละประเทศจะได้รับจากการรวมตัวทางเศรษฐกิจ ภาพรวมทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ อุตสาหกรรมหลัก ปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมในการทำการค้า การลงทุน รวมไปถึงกฎระเบียบข้อบังคับ และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเชื่อมโยงกันใน ASEAN+3 ที่จะช่วยให้ผู้อ่านได้เข้าถึงและสามารถเก็บเกี่ยวโอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างในยุค AEC+3 ด้านการท่องเที่ยว (Travel) แนะนำข้อมูลพื้นฐานซึ่งจำเป็นในการเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมในการเข้าไปทำธุรกิจในประเทศ ASEAN+3 เช่น กฎระเบียบและข้อควรปฏิบัติต่างๆ สถานทูต การขอและต่ออายุวีซ่า การเดินทางในแต่ละประเทศ คำแนะนำในการท่องเที่ยว เช่น ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เป็นต้น
นายธีรนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ธนาคารกสิกรไทย เล็งเห็นถึงความสำคัญของการส่งมอบข้อมูลความรู้ที่จะเป็นประโยชน์แก่ลูกค้าในการทำธุรกิจมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ASEAN+3 เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ทั้งนักลงทุนไทยที่จะก้าวเข้าสู่ตลาด AEC รวมไปถึงนักลงทุนจากประเทศอื่นๆ ที่มีความต้องการในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย อันจะเป็นประโยชน์โดยรวมต่อการเติบโตของเศรษฐกิจASEAN อย่างยั่งยืนต่อไป โดยธนาคารได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อต่อยอดโอกาสทางธุรกิจและความรู้ให้แก่ลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดทำคู่มือการค้าและการลงทุนในภูมิภาค งามสัมมนาเพื่อให้ความรู้เชิงลึกเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมไปถึงกิจกรรมจับคู่ธุรกิจสำหรับลูกค้าไทยกับผู้ประกอบการในภูมิภาคอาเซียน เช่น กิจกรรมจับคู่ธุรกิจไทย-เวียดนามในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม กิจกรรมจับคู่ธุรกิจไทย-อินโดนีเซียในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน กิจกรรมจับคู่ธุรกิจไทย-ญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ สุขภาพและความงาม เป็นต้น จนถึงวันนี้ธนาคารได้มีการริเริ่มในการจัดทำหนังสือ ASEAN+3 จะสอดรับกับเป้าหมายการเป็นธนาคารแห่งภูมิภาค หรือ AEC+3 Bank ที่มีศักยภาพในการช่วยเหลือและต่อยอดโอกาสทางธุรกิจให้แก่ลูกค้า ผนวกกับความเข้าใจถึงความแตกต่างของ ASEAN+3 ในหลากหลายบริบท เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดของธนาคารคือการส่งมอบและแบ่งปันความรู้ของ ASEAN+3 ในหลากหลายแง่มุมทั้งแก่ลูกค้าและสังคม อีกทั้งเป็นการทำให้ภูมิภาค ASEAN+3 ได้เป็นที่รู้จักและยอมรับถึงศักยภาพในระดับสากลเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการนำความเจริญอย่างยั่งยืนมาสู่ภูมิภาคอีกด้วย
ด้านนายนิโคลัส กรอสแมน บรรณาธิการบริหาร สำนักพิมพ์ Editions Didier Millet (EDM) ในประเทศไทย เปิดเผยว่า หนังสือ ASEAN+3 มีความแตกต่างและโดดเด่นจากหนังสือเล่มอื่นในหลากหลายแง่มุม เช่น นักเขียนอันได้แก่ นายคริส ฮอร์ตัน และนายคริส เทย์เลอร์ มาเป็นผู้ถ่ายทอดเนื้อหางานเขียนเชิงลึกจากประสบการณ์ที่มีในภูมิภาคอาเซียนอย่างยาวนานกว่าหลายทศวรรษ ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพของความแตกต่างของ ASEAN+3 อันมีอยู่หลากหลายมิติ รวมไปถึงการออกแบบรูปเล่มและภาษาที่ใช้ มีการคัดสรรรูปเพื่อนำมาใช้ประกอบในหนังสืออย่างประณีต จัดทำเป็นรูปแบบของกราฟต่างๆ เพื่อให้เห็นถึงข้อมูลเปรียบเทียบโดยสังเขป โดยหนังสือชุดนี้ยังได้ถูกบรรจุในกล่องขนาด 7x18x24.5 ซม. เพื่อความคงทนและแสดงถึงเอกลักษณ์ของหนังสือชุดนี้ โดยสามารถซื้อผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายเหล่านี้ ได้แก่ ร้านหนังสือเอเชีย บุ๊ค ร้านหนังสือคิโนคูนิยะ ราคา 1,350 บาท หรือ 39.95 ดอลลาร์สหรัฐฯ และเว็บไซต์ Amazon.com ในรูปแบบ E-Book ราคา 9.90 ดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มจำหน่ายวันที่ 1 ธันวาคม 2558 โดยรายได้จากการจำหน่ายหนังสือจะมอบให้สภากาชาดไทย