กรุงเทพฯ--22 มี.ค.--สนพ.
นายวิเศษ จูภิบาล รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานได้ประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศอีกลิตรละ 3 บาท ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นมาอยู่ที่ 18.19 บาทต่อลิตร จากเดิมอยู่ที่ 15.19 บาทต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2548 เป็นต้นไป ส่วนสาเหตุที่ต้องมีการปรับขึ้นเนื่องจากเพื่อเป็นการลดภาระการชดเชยการตรึงราคาน้ำมันของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
เนื่องจากปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีการชดเชยดีเซลเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 6.62 บาทต่อลิตร โดยมีผลมาจากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยน้ำมันดิบดูไบขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 48 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มสูงขึ้นจากปีที่แล้วที่ราคาเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันตลาดสิงคโปร์เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 66 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากเฉลี่ยปีที่แล้วอยู่ที่ 45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และเพื่อให้ราคาสะท้อนกับความเป็นจริงในตลาดโลก และไม่ให้เกิดความแตกต่างระหว่างราคาตลาดโลกกับราคาตลาดในประเทศไทยมากเกินไป
ทั้งนี้จากการปรับขึ้นราคาคาดีเซลอีก 3 บาทต่อลิตรจะทำให้ช่วยลดการชดเชยของกองทุนลงประมาณ 150 ล้านบาทต่อวัน หรือคิดเป็น 4,800 ล้านบาทต่อเดือน ปัจจุบันกองทุนน้ำมันได้ชดเชยการตรึงราคาตั้งแต่วันที่10 มกราคม 2547 เป็นจำนวนถึง 76,770.49 ล้านบาท หรือวันละ 331.43 ล้านบาท แบ่งเป็นการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลจำนวน 69,795.42 ล้านบาท หรือลิตรละ 6.62 บาท เบนซิน 95 จำนวน 2,672.63 ล้านบาท เบนซิน 91 จำนวน 4,302 ล้านบาท
“ การปรับขึ้นราคาดีเซลครั้งนี้ มีผลกระทบต่อความเติบโตทางเศรษฐกิจ ( GDP ) เพียงประมาณ 0.5 - 0.7% อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5-0.9% เท่านั้น โดยการปรับโครงสร้างใหม่นี้ จะทำให้กองทุนฯ
สามารถตรึงราคาน้ำมันให้กับประชาชนต่อไปได้ โดยกองทุนฯ ยังคงชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอยู่อีกประมาณ 3 บาทต่อลิตร แต่ช่วยลดภาระการชดเชยให้กับ กองทุนฯ ลงได้ประมาณ 4,800 ล้านบาทต่อเดือน แต่อย่างไรก็ตามจากการตรึงราคาที่ผ่านมานั้น ช่วยทำให้ GDP ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เงินเฟ้อไม่เพิ่มขึ้น ราคาสินค้าและบริการมีเสถียรภาพ และระดับที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถชดเชยได้คือ 3 บาทต่อลิตรเท่านั้น “ นายวิเศษ กล่าว
นายวิเศษ กล่าวว่า รัฐบาลยังไม่มีนโยบายปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลมากกว่านี้ ถ้าหากราคาน้ำมันดิบไม่ปรับเพิ่มขึ้นสูงไปถึงราคา 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทั้งนี้ยังคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ส่วนสาเหตุที่ต้องปรับขึ้นราคาดีเซลเพียงครั้งเดียว 3 บาท เนื่องจากเกรงว่าราคาสินค้ามักจะเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น และเพื่อตัดความกังวลเรื่องการขยับขึ้นราคาน้ำมัน เพราะหากขึ้นแบบขั้นบันไดก็จะมีการเก็งว่าราคาน้ำมันจะปรับขึ้นเมื่อใด และจะมีการฉวยโอกาสการกักตุนหรือปรับเพิ่มราคาสินค้าจนเกินจริง ทั้งนี้ยังกล่าวยืนยันว่าไม่มีการหารือในเรื่องนโยบายการลดค่าการกลั่น หรือการคุณภาพของน้ำมันแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้มีการเตรียมการ เพื่อดูแลคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเข้มงวด โดยมีการมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย กระทรวงพาณิชย์ ดูแลในเรื่องของราคาสินค้า กระทรวงคมนาคม ด้านค่าขนส่งและค่าโดยสาร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดูแลการประมงชายฝั่ง (ยกเว้นกลุ่มผู้เลี้ยงกุ้ง) และสำนักงานคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เป็นผู้ดูแลด้านผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวม โดยมีกระทรวงพลังงานเป็น ผู้ประสานงานการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงต่างๆ
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานจะเร่งดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานในภาคขนส่ง ได้แก่ การส่งเสริมการใช้ NGV และการใช้แก๊สโซฮอล์ทดแทนน้ำมัน โดยจะมีการติดตั้งถังก๊าซ NGV ให้กับแท๊กซี่เพิ่มอีกจำนวน 2,000 คัน ภายในเดือนกรกฎาคมปี 2548 จากเดิมที่มีอยู่ 4,300 คัน สามารถช่วยลดการใช้น้ำมันเบนซินได้ 16 ล้านลิตร หรือคิดเป็นเงินประมาณ 350 ล้านบาทต่อปี และในระยะต่อไปจะให้มีอัตรารถยนต์ส่วนบุคคลและรถแท๊กซี่ที่ใช้ NGV เพิ่มขึ้นปีละ 20,000 คัน และในอนาคตจะออกระเบียบให้รถแท๊กซี่ที่จดทะเบียนใหม่ต้องเป็น รถ NGV
พร้อมทั้งให้รถของส่วนราชการใน กทม.จำนวน 2,816 คัน เป็นรถ NGV ทั้งหมด โดยนำร่องรถของกระทรวงพลังงานจำนวน 40 คัน และรถต่างๆ ที่ใช้ในสนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมตั้งเป้าให้มีรถโดยสารที่ใช้ NGV ในปี 2548 นี้เพิ่มอีกจำนวน 500 คัน และเพิ่มในแต่ละปีปีละ 1,300 คัน สำหรับรถโดยสารและรถบรรทุก ขณะที่ด้านแก๊สโซฮอล์ จะขยายสถานีบริการน้ำมันจำหน่ายแก๊สโซฮอล์จาก 700 สถานี ให้เป็น 4,000 สถานีภายในปีนี้ และให้สถานีบริการน้ำมันในสถานที่ราชการจำนวน 413 แห่ง เปลี่ยนเป็นปั๊มแก๊สโซฮอล์ทั้งหมด
ด้านภาคอุตสาหกรรมจะมีการปรับกระบวนการผลิตและจัดการ โดยปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัดพลังงานปีละ 215 ล้านบาท พร้อมทั้งมาตรการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้จำนวน 1,800 ล้านบาท สนับสนุนให้กับโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 52 โครงการ หรือปีละ 800 ล้านบาทสำหรับใช้ในการประหยัดพลังงานตลอดไป นอกจากนี้ให้ BOI ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และภาษีนำเข้าสำหรับอุปกรณ์พลังงาน และการส่งเสริมให้มีอุปกรณ์ด้าน พลังงานอย่างต่อเนื่อง
สำหรับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปิดตลาดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2548 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 47.90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเบรนท์อยู่ที่ 55.35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 0.42 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส อยู่ที่ 56.89 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 0.04เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดจร เบนิซิน 95 อยู่ที่ 60.61 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ดีเซลอยู่ที่ 64.80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.15 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในขณะนี้ก็อยู่ในระดับที่ใกล้เคียง 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งหากราคายังสูงอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้รัฐบาลต้องมีการพิจารณาปรับขึ้นหรือไม่อีกครั้ง--จบ--