แพทย์หญิงประนอม คำเที่ยง รองปลัดสธ. กล่าวว่าภาวะบกพร่องทางสติปัญญาถือเป็น 1 ในความพิการ 7 ประเภทที่พบร้อยละ 1.3 ของประชากรหรือประมาณ 1 ล้านคนในประเทศไทยโดยมีการเข้าถึงบริการเพียงร้อยละ 6.25 ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขก็ได้มีนโยบายสำคัญในการบูรณาการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิตโดยในปีงบประมาณ 2559 ได้ตั้งเป้าให้คนพิการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 การดำเนินโครงการนี้จึงเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้สังคมเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพของบุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาซึ่งต้องประสานความร่วมมือกันอย่างจริงจังทั้งจากกระทรวงสาธารณสุขกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ตลอดจนครอบครัวและสังคมองค์กรท้องถิ่นและองค์กรภาคเอกชน
รศ.ดร.นริศ ชัยสูตร ประธานคณะกรรมการสเปเชียลโอลิมปิคแห่งประเทศไทย กล่าวถึงบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลกว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการคัดเลือกจาก 33 ประเทศสมาชิกของสเปเชียลโอลิมปิคสากล (Special Olympics International) ให้ดำเนินโครงการนำร่องเพื่อศึกษารูปแบบของการขยายการให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขให้กับบุคคลที่บกพร่องทางสติปัญญาในพื้นที่แตกต่างกันทั่วโลกซึ่งโครงการนี้ได้รับการประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการโดยอดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกานายบิลคลินตันในการประชุมใหญ่ของClinton Global Initiatives เมื่อปี 2555 และจากการดำเนินงานขยายผลสเปเชียลโอลิมปิคไทยได้รับเลือกเป็น 1 ใน 2 ประเทศที่ได้แสดงผลงานดีเด่นให้กับที่ประชุมนานาชาติของสเปเชียลโอลิมปิคสากลที่กรุงลอสแอนเจลิสในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
คุณวาเลรี ตาตอน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟประเทศไทย ในฐานะผู้สนับสนุนโครงการได้เปิดเผยถึงความสำคัญของโครงการในการขับเคลื่อนพัฒนาการของเด็กพิการไทยว่าเด็กทุกคนมีสิทธิได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกันในการทำตามความฝันและเติบโตขึ้นเป็นสมาชิกที่มีศักยภาพของสังคมแต่บ่อยครั้งเราพบว่าเด็กพิการมักไม่ได้รับโอกาสเช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆพวกเขาต้องเผชิญความท้าทายต่างๆมากมายในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานนั่นคือสิทธิที่จะมีสุขภาพอนามัยดีสิทธิที่จะได้รับการศึกษาสิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากภัยอันตรายและสิทธิที่จะได้มีส่วนร่วมในสังคมไม่ถูกตีตราว่าหรือถูกรังเกียจจากสังคมลดความเหลื่อมล้ำสร้างความเท่าเทียมในสังคมซึ่งเป็นประเด็นที่ยูนิเซฟให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ ไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้นแต่ในทุกแห่งทั่วโลก นายสมชาย เจริญอำนวยสุข อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กล่าวว่าจากข้อมูลคนพิการ ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ ณ วันที่ 2 พ.ย.2558 ประเทศไทยมีผู้พิการจำนวน 1,675,753 คนเป็นผู้พิการทางสติปัญญา 114,237 คน (ร้อยละ 6.81) การดูแลคนพิการจึงต้องให้สิทธิและโอกาสเทียบเท่ากับคนปกติและต้องปฏิบัติกับเขา อย่างมีเกียรติและที่สำคัญคือ ให้กำลังใจคนพิการไม่ใช่ภาระแต่เป็นพลังซึ่งขณะนี้มีโครงการจ้างงานคนพิการซึ่งมีกฎหมายรองรับว่าสถานประกอบการทุกแห่งใน 100 คนทำงานต้องจ้างคนพิการ 1 คน ไม่มียกเว้นทั้งภาครัฐและเอกชน หากเราสามารถดูแลสุขภาพและอาชีพให้เขาได้ตัวเขาเองก็จะสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข
ในส่วนของนโยบายและยุทธศาสตร์ในการดูแลสุขภาพบุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพื่อความยั่งยืนต่อไปนั้น พญ.พรรณพิมล วิปุลากรรอง อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การดำเนินงานโครงการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพบุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาได้ดำเนินการต่อเนื่องตลอด 3 ปีนำร่องใน 6 โรงเรียนในกทม.ลพบุรี สุพรรณบุรีเชียงใหม่ อุบลราชธานี และภูเก็ต พบว่าปีการศึกษา 2557 และ 2558 มีเด็กนักเรียนผ่านการประเมินสุขภาพ 1,357 และ 1,253 รายตามลำดับมีโรคประจำตัวเรื้อรังประมาณร้อยละ 11 โดยพบโรคลมชักมากที่สุด ในส่วนของโรคทางจิตเวชส่วนใหญ่เป็นโรคออทิสติกรองลงมา คือ โรคสมาธิสั้นส่วนกลุ่มอาการดาวน์ ซึ่งเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ส่งผลให้เกิดภาวะบกพร่องทางสติปัญญามากที่สุดพบร้อยละ 14.6 ในปี 2557 และร้อยละ 18.5 ในปี 2558 ผลจากโครงการในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการดำเนินงานสำคัญเพื่อนักเรียนและบุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาได้แก่ 1.การส่งเสริมให้เกิดความเข้มแข็งของระบบส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพอย่างเป็นองค์รวมในโรงเรียนการศึกษาพิเศษ 2.การมีระบบการดูแลภายในโรงเรียนและกลไกการส่งต่อปัญหาสุขภาพ ที่เอื้อต่อข้อจำกัดของเด็กและครอบครัว และ 3.มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและวางแผนการดำเนินงานและประเมินผลร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งนี้ได้เดินหน้าทดลองขยายการทำงานผ่านการประสานงานของหน่วยงานสาธารณสุขและการศึกษาในโรงเรียนการศึกษาพิเศษสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพิ่มอีก 14 แห่งทั่วประเทศ ให้เกิดระบบการดำเนินงานที่ยั่งยืนด้วยโมเดล "โดยชุมชนเพื่อชุมชน" ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างผู้ปกครองครูบุคลากรสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อทำให้เด็กที่อยู่ในโรงเรียนการศึกษาพิเศษเป็นต้นแบบการรับบริการสุขภาพอย่างครบถ้วนเด็กสามารถดูแลตัวเอง และพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างต่อเนื่อง
ด้านนางลำพึง ศรีมีชัย รอง.ผอ.สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษกล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือในการจัดการการศึกษาสำหรับคนพิการร่วมกันนอกจากนี้ยังได้เตรียมดำเนินการโครงการ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ในการดูแลเด็กเช่นการเตรียมจัดตั้ง โรงเรียนออทิสติกอีกที่จ.ขอนแก่นรวมทั้งร.ร.พิเศษที่จ.ชลบุรีตลอดจนร.ร.ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่จะนำโมเดลของโครงการนี้ไปต่อยอดโครงการของกระทรวงฯ ต่อไป