นางสาวศิริวรรณ สุกัญจนศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ TKS ผู้ประกอบการธุรกิจงานพิมพ์ครบวงจรรายใหญ่ในประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯได้ข้อสรุปในการร่วมทุนกับพันธมิตรจากประเทศ ญี่ปุ่นเรียบร้อย แล้ว โดยจะร่วมมือกันเพื่อสร้างการเพิ่มมูลค่าให้กับสิ่งพิมพ์บรรจุภัณฑ์เดิมของ บริษัทฯ ให้สามารถขยายตลาดด้านสิ่งพิมพ์บรรจุภัณฑ์ไปยังลูกค้ารายใหม่ๆ หลีกเลี่ยงการแข่งขันในตลาดสิ่งพิมพ์บรรจุภัณฑ์ในประเทศแบบ เดิม ส่วนแผนการรุกขยายธุรกิจด้านโลจิสติกส์ยังคงเดินหน้า คาดว่าเห็นความชัดเจนในปี 2559
"สำหรับการลงทุนด้านบรรจุภัณฑ์ และด้านโลจีสติกส์นั้น ถือเป็นหนึ่งในแผนการสร้างการเติบโตให้แก่บริษัทในอนาคต และยังเป็นการทดแทนธุรกิจหลักในด้านสิ่งพิมพ์ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ลดลง จากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว" นางสาวศิริวรรณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้วางเป้าหมายในธุรกิจสิ่งพิมพ์ประเภทลาเบลบรรจุภัณฑ์ในปี 2559 โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 40-50 ล้านบาทสำหรับช่วงเริ่มทำตลาด และวางเป้าการเติบโตของธุรกิจดังกล่าวในปี 2560 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ขณะที่แผนการรุกธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ อยู่ในขั้นตอนของการเจรจากับพันธมิตรเพื่อนบ้าน สำหรับประเทศที่บริษัทฯ สนใจเข้าไปลงทุน โดยที่เห็นเป็นประเทศแรก คือ สปป.ลาว ในการเข้าไปรับงานสิ่งพิมพ์ปลอดการทำเทียม (แบบพิมพ์ซีเคียวริตี้) แบบ Turn Key ของภาครัฐ หลังจากนั้นจะขยายไปในประเทศอื่นๆ ได้แก่ กัมพูชา และเมียนมาร์ ตามลำดับ
นางสาวศิริวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า การร่วมทุนกับพันธมิตรและการรุกธุรกิจไปยังตลาด AEC จะส่งผลต่อการสร้างรายได้ในอนาคต และผลตอบแทนกับผู้ถือหุ้น ส่วนผลงานปีนี้ยอมรับว่าลดลงจากเป้าหมายที่วางไว้ 1,700 ล้านบาท โดยคาดว่ารายได้ปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 1,400 ล้านบาท เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี และงานร่างรัฐธรรมนูญ มูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท ถูกเลื่อนออกไป
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/2558 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายจำนวน 349.75 ล้านบาท เทียบกับรายได้จากการขายปีก่อนอยู่ที่ 382.59 ล้านบาท คิดเป็นการปรับลดลง 32.84 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 8.58 เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศปีนี้ชะลอตัว ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน ซึ่งโดยปกติในครึ่งปีหลังจะเป็นช่วง high season ของธุรกิจ ทั้งจากการทำโปรโมชั่นของร้านสะดวกซื้อและโมเดิร์นเทรดที่มาก ขึ้น รวมถึงงานปฏิทิน แต่ปีนี้ไม่คึกคักเท่าที่ควร ทำให้ส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัทฯ แต่ทั้งนี้ในส่วนกำไรสุทธิของไตรมาส 3/2558 นั้นอยู่ที่ 66.87 ล้านบาท หรือ 0.19 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2557 ที่มีกำไรสุทธิ 62.63 ล้านบาท หรือ 0.17 บาท/หุ้น คิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 4.24 ล้านบาท หรืออัตราร้อยละ 6.76 ซึ่งจากที่กำไรสุทธิของ Q3/58 มากกว่า Q 3/57 นั้นเพราะได้รับอานิสงค์มาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของบริษัทร่วม
ส่วนผลการดำเนินงานงวดเก้าเดือนของปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 1,015.28 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,196.19 ล้านบาท ปรับลดลง 180.91 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 15.12 และมีกำไรสุทธิ 215.47 ล้านบาท เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 247.24 ล้านบาท ปรับลดลง 31.77 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 12.84