กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมแถลง แนวทางการจัดเก็บภาษีรถยนต์จากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และการขอป้ายข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล (Eco Sticker)

อังคาร ๑๕ ธันวาคม ๒๐๑๕ ๑๗:๑๕
กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมจับมือแถลงความคืบหน้าและแสดงความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการด้านการปฏิบัติในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ จากอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) รวมถึงหลักเกณฑ์เงื่อนไขต่างๆ เกี่ยวกับการวัด การปล่อยมลพิษและการตรวจสอบการปล่อยมลพิษ ที่จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เพื่อสร้างความเข้าใจหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่างๆ ให้แก่ภาคประชาชนและภาคอุตสาหกรรม

นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์เป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศ จึงมีการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในบางประเภทโดยใช้กลไกทางภาษีสรรพสามิตรถยนต์ นอกจากนี้ ปัจจุบันปัญหาภาวะโลกร้อนได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้น และอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มากที่สุด ภาครัฐจึงมุ่งที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน และได้ปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ โดยคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 เห็นชอบหลักการในการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และให้กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีรถยนต์ โดยอ้างอิงจากการปล่อยมลพิษ หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป และจากการที่คณะรัฐมนตรีมีมติดังกล่าวข้างต้น จะส่งผลให้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่วัดจากประเภทและขนาดความจุเครื่องยนต์ เป็นการวัดจากการปล่อยมลพิษแทน ซึ่งการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ดังกล่าว เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคตระหนักต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวต่อว่า คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมมือกันในการดำเนินการด้านการปฏิบัติ เช่น การออกป้ายข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล (Eco Sticker) รวมถึงการตรวจสอบค่าอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยได้มอบหมายให้กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร หารือร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบด้วย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ในการวางแนวทางการวัดการปล่อยมลพิษ การตรวจสอบการปล่อยมลพิษ สรุปสาระสำคัญของแนวทางการดำเนินงานเพื่อซักซ้อมความเข้าใจ ดังนี้

1. ผู้ผลิตในประเทศและผู้นำเข้าต้องนำรถยนต์ที่จัดจำหน่ายในประเทศไทยผ่านการตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือที่รู้จักโดยทั่วไปคือ R83 ซึ่งการตรวจสอบดังกล่าว จะมีค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ปรากฏอยู่ในผลการตรวจสอบ และรถยนต์บางประเภทต้องผ่านการทดสอบความปลอดภัยประเภทระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Active Safety)

2. ผู้ผลิตในประเทศและผู้นำเข้า จะต้องนำผลการตรวจสอบเข้าสู่ระบบของ สศอ. เพื่อให้ค่าดังกล่าวปรากฏอยู่ในป้ายข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล (Eco Sticker) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมสรรพสามิต สมอ. และ สศอ. จะตรวจสอบรายละเอียดที่ได้นำเข้าสู่ระบบดังกล่าว หากถูกต้องครบถ้วน ก็จะมีการพิมพ์ป้ายข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล (Eco Sticker) ให้ผู้ผลิตในประเทศและผู้นำเข้า

3. ผู้ผลิตในประเทศและผู้นำเข้า จะต้องยืนยันผลการตรวจสอบดังกล่าวให้กรมสรรพสามิต หรือกรมศุลกากร แล้วแต่จุดความรับผิดเกิด เพื่อกรมสรรพสามิตหรือกรมศุลกากรจะได้จัดเก็บภาษีตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นสำคัญ

4. ป้ายข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล (Eco Sticker) ที่ผู้ผลิตในประเทศหรือผู้นำเข้าได้รับจากกระทรวงอุตสาหกรรมที่มีการตรวจสอบถูกต้องแล้ว จะต้องนำไปปิดไว้ที่รถยนต์ทุกคัน ณ จุดขาย เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคได้รับทราบถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และอัตราการใช้พลังงาน

5. กรณีที่รายละเอียดในคำขอการออกป้ายข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล (Eco Sticker) ดังกล่าวยังไม่ครบถ้วน ผู้ผลิตในประเทศหรือผู้นำเข้าสามารถใช้ข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากลเบื้องต้น (Eco Sticker เบื้องต้น) แทนก่อนได้ และนำป้ายข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบแล้วมายื่นกับหน่วยงานของรัฐภายใน 45 วัน

ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวเป็นแนวทางที่หน่วยงานจัดเก็บภาษี ได้แก่ กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร ใช้เป็นแนวปฏิบัติ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ