พม. ยกระดับการบริหารจัดการงานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานข้าราชการพลเรือนไทย-สิงคโปร์ (Civil Service Exchange Program: CSEP)

พุธ ๑๖ ธันวาคม ๒๐๑๕ ๐๙:๓๙
วันนี้ (๑๕ ธ.ค. ๕๘) เวลา ๑๕.๐๐ น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปพม.) เปิดเผยว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มีภารกิจในการสร้างระบบสวัสดิการให้ประชาชนมีหลักประกันและมีความมั่นคงในชีวิต ตลอดจนพัฒนาองค์ความรู้ ขีดความสามารถ และระบบการบริหารจัดการด้านการพัฒนาสังคมเพื่อสร้างสังคมที่มีคุณภาพซึ่งจำเป็นต้องเสริมสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ที่จำเป็นต่างๆ ให้ทันสมัยและทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ เพื่อให้สามารถรองรับกับโลกและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จึงได้จัดทำโครงการยกระดับการบริหารจัดการงานสวัสดิการสังคมและการพัฒนาสังคมภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานข้าราชการพลเรือนไทย-สิงคโปร์ (Civil Service Exchange Programme : CSEP) ขึ้น เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการกำหนดยุทธศาสตร์ การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ และการติดตามประเมินผลเชิงยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนเรียนรู้ศาสตร์และนวัตกรรมในการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลและผู้บริหารกระทรวงฯ รวมทั้งมีความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่รวดเร็วในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกรอบความร่วมมือระหว่างหน่วยงานข้าราชการพลเรือนไทย-สิงคโปร์

นายไมตรี กล่าวว่า โครงการดังกล่าว เป็นกลไกความร่วมมือระหว่างหน่วยราชการไทยกับสิงคโปร์เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของข้าราชการพลเรือน การประชุมตามโครงการดังกล่าวจัดขึ้นปีละ ๑ ครั้ง โดยทั้งสองประเทศสลับกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม โดยการดำเนินงานภายใต้โครงการฯ เป็นการศึกษาดูงาน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเรียนรู้แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศระหว่างกัน (Best Practice) ปัจจุบันมีความร่วมมือทั้งสิ้น ๑๓ สาขา โดยสาขาที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ คือ สาขาสวัสดิการสังคม เยาวชนและกีฬา (Social Welfare, Youth and Sports Cooperation) โดยมีนายสัมพันธ์ สุวรรณทับ รองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จำนวนทั้งสิ้น ๒๐ คน เข้าร่วมโครงการดังกล่าวระหว่างวันที่ ๒๕ – ๒๗ พ.ย. ๕๘ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ทั้งนี้ คาดว่าผู้เข้าร่วมโครงการฯ จะมีศักยภาพในการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ โดยสามารถขับเคลื่อนการดำเนินภารกิจของกระทรวงฯ ให้สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลและผู้บริหารกระทรวงฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

นายไมตรี กล่าวต่อไปว่า โครงการดังกล่าว คณะผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้รับฟังบรรยายด้านนโยบาย และโครงการ กิจกรรม รวมถึงแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานด้านผู้สูงอายุกับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของกระทรวงสุขภาพ (Ministry of Health) ศูนย์จัดการบริการแบบผสมผสาน (Agency for Integrated Care) ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแบบผสมผสาน SASCO (SASCO Integrated Eldercare Centre) และสถานพยาบาลสำหรับผู้สูงอายุ Jamiyah (Jamiyah Nursing Home) ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งพบว่าประเทศสิงคโปร์มีแนวคิดว่า ผู้สูงอายุคือทรัพยากรบุคคลที่ทรงคุณค่า ดังนั้น จึงให้การดูแลผู้สูงอายุของตนเป็นอย่างดี โดยเมื่อสังคมเปลี่ยนเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุในด้านสาธารณสุขจะเน้นที่การรักษาโรคเรื้อรังและการดูแลสุขภาพแบบระยะยาวมากขึ้น ทำให้ผู้สูงอายุในปัจจุบันมีอายุยืนยาวขึ้น พร้อมทั้งมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ ประเทศสิงคโปร์จึงพยายามสร้างสังคมของตนให้เป็นสังคมที่เหมาะกับคนทุกวัย โดยกระทรวงสุขภาพของสิงคโปร์ได้จัดสรรงบประมาณจำนวน ๓ ล้านล้านเหรียญสิงคโปร์สำหรับนวัตกรรม ๖๐ โครงการครอบคลุมงาน ๑๒ ด้านที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุ

นายไมตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการศึกษานโยบาย แลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์กับผู้ปฏิบัติงานด้านการดูแลผู้สูงอายุในประเทศสิงคโปร์ คณะผู้แทนได้รับความรู้และประสบการณ์เพิ่มเติมมากขึ้น นอกจากนั้น ยังได้มีการพูดคุยหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุของประเทศไทย โดยมีข้อเสนอเพื่อการปรับปรุงและพัฒนางาน ดังนี้ ๑) ด้านกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ๑.๑) กำหนดกฎหมาย/ระเบียบเพื่อส่งเสริมการดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงกำหนดให้มีบทลงโทษผู้ฝ่าฝืน/ไม่ปฏิบัติตาม ๑.๒) กำหนดมาตรฐานการจัดตั้งและการดำเนินการศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ และสนับสนุนงบประมาณให้แก่ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานดังกล่าว ๒) ด้านการบูรณาการการทำงาน๒.๑) บูรณาการการทำงานระหว่างกรมกิจการผู้สูงอายุและกรมกิจการเด็กและเยาวชน เพื่อปลูกฝังความกตัญญูรู้คุณ การดูแลบุพการี และส่งเสริมการสานสัมพันธ์ระหว่างช่วงวัย ๒.๒) ให้ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและฝึกอายุอาชีพผู้สูงอายุตำบล

เป็นศูนย์กลางการทำงานของ พม. ในระดับพื้นที่ ๓) ด้านสวัสดิการของบุคลากร ๓.๑) ควรเพิ่มสวัสดิการและแรงจูงใจในการทำงานให้แก่บุคลากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปฏิบัติงานทางการแพทย์และสาธารณสุขในสถาบันต่างๆ ๓.๒) สนับสนุนให้บุคลากรได้มีการเพิ่มความรู้และทักษะเฉพาะทางอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version