โดยแต่ละกลุ่มแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย ฝ่ายพัฒนา ฝ่ายวิชาการ และฝ่ายนันทนาการ ซึ่งฝ่ายพัฒนาจะทำหน้าที่ในการปรับปรุงโรงเรียนให้น่าอยู่ อาทิ ทาสีรั้วโรงเรียนใหม่ // ซ่อมแซมห้องสมุด // ทำพื้นสนามให้สะอาด และปรับเปลี่ยนห้องพยาบาลให้ถูกหลักอนามัย ในด้านวิชาการแต่ละกลุ่ม จะต้องทำแผนการสอนทั้ง 4 วิชา เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่เมื่อมาผ่านขั้นตอนการสอนจริง ๆ ทำให้รู้ว่า น้อง ๆ เหล่านี้ ไม่ได้ภาษาอังกฤษ จึงต้องวางแผนใหม่ เพี่อให้น้อง ๆ ได้ประโยชน์จากการเรียนการสอนในครั้งนี้ให้ได้มากที่สุด ในส่วนของฝ่ายนันทนาการได้ทำตามหลักสูตรของกระทรวงการศึกษาธิการให้มีการทำกิจกรรมร่วมกัน โดยเริ่มจากการละลายพฤติกรรมและจัดกิจกรรมกายบริหาร จึงทำให้น้อง ๆ ได้รับความรู้และความสนุกไปพร้อม ๆ กัน
ตลอดระยะเวลาการออกค่ายอาสาฯ สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความผูกพัน // ความสัมพันธ์และการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่และกับครอบครัวใหม่ นักเรียนที่ออกค่ายอาสาฯ จะได้รับการฝึกฝนตนเองในการช่วยเหลือต่างๆ การดูแลโรงเรียน ทำอาหาร ทำความสะอาด ซ่อมแซมส่วนที่ทรุดโทรมหรือแม้กระทั่งการสอนหนังสือน้อง ๆ ที่อยู่ที่บ้านหรือที่โรงเรียนที่เราออกค่ายอาสาฯ และร่วมพัฒนาโรงเรียนร่วมกัน จากเด็กนักเรียนคนเมืองที่มีความสะดวกสบาย พ่อแม่ผู้ปกครองดูแลเอาใจใส่ตลอดเวลา จะต้องปรับชีวิตตนเองภายใน 1 อาทิตย์ ให้ได้มีโอกาสได้เรียนรู้ชีวิตในชนบทที่ค่อนข้างลำบาก ไม่สะดวกสบายเหมือนชีวิตคนเมืองและต้องผ่านกิจกรรมการลงพื้นที่สอนหนังสือให้กับน้อง ๆ ที่อยู่โรงเรียนห่างไกล พร้อมพัฒนาโรงเรียนให้ไม่ทรุดโทรม แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ที่ได้ลงไปคลุกคลีกับน้อง ๆ แต่ก็ทำให้เด็กนักเรียนที่ออกค่ายอาสาฯ ได้รับทักษะชีวิต เพื่อให้ทันต่อกระแสสังคมที่พร้อมจะส่งต่อโอกาสให้กับชุมชน ซึ่งในส่วนนี้ก็คือผลลัพธ์ที่ทำให้ติดตัวเด็กตลอดไป ดังเช่น นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ของโรงเรียนสารสาสน์เอกตรา
น.ส.อรนิชา อภิวิศาลกิจ หรือน้องซีเจ ตัวแทนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่าว่า "ค่ายอาสาพัฒนาความเป็นผู้นำฯ เป็นเสมือนสถานบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ใหม่ ๆ ทำให้ได้ประโยชน์ใน 2 ลักษณะด้วยกัน คือ 1.ด้านการฝึกฝนตนเองให้มีความเข้มแข็งและการให้และเสียสละ 2.ด้านการช่วยเหลือผู้อื่นอย่างตั้งใจจริง ซึ่ง 2 สิ่งนี้ทำให้ตนเองเกิดความรู้สึกผูกพันและภูมิใจกับตัวเองที่ได้ทำประโยชน์ให้กับสังคม แม้จะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งของชีวิต ที่ได้ลงมือเข้าไปช่วยเหลือ และการอยู่ร่วมกันกับน้อง ๆ ในชนบทที่ห่างไกล ได้เรียนรู้วิถีชีวิต สภาพความเป็นอยู่ ที่แตกต่างจากคนในสังคมเมือง ซึ่งแรก ๆ ตัวเราเองยังปรับตัวไม่ได้ แต่ก็ต้องพยายามปรับตัวให้ได้ สิ่งที่ได้รับคือการได้ฝึกการเรียนรู้วิถีชีวิตที่แตกต่างกันระหว่างสังคมเมืองที่เราเคยอยู่กับสังคมนอกเมืองที่อยู่ห่างไกล
นายณัฐพล สรรพโชติ หรือน้องเอส ตัวแทนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บอกว่า "หลังจากได้ร่วมกันทำกิจกรรมค่ายพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้นำและช่วยเหลือชุมชนรุ่นที่ 18 ทำให้พวกเราได้เปลี่ยนความคิดให้เข้าใจกับคำว่าการทำงานเป็นทีม การรู้จักแก้ปัญหา การฝึกทักษะทางความคิดและทักษะการพูดการสอนให้เข้าใจ รวมถึงความมีน้ำใจ และคำว่า "โอกาส" มากขึ้น เพราะคนเรานั้นมีโอกาสเลือกที่แตกต่างกัน แต่วันนี้เราได้มีโอกาสมาอยู่ตรงนี้ ทำให้รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก ซึ่งการมาค่ายอาสาฯ ในครั้งนี้ ต้องทำงานกับคนที่มีความหลากหลาย ต้องอย่าลืมว่าการพัฒนาสังคมไม่ได้เกิดจากคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ต้องเกิดจากหลายฝ่ายร่วมมือกัน แบ่งปันข้อมูล ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ไม่สามารถหาได้ในห้องเรียน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ มิตรภาพที่ได้รับกลับมาจากน้อง ๆ ที่ได้เห็นรอยยิ้ม และน้อง ๆ ได้เข้าใจกับสิ่งที่เราตั้งใจมอบให้ ก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด สำหรับการมาค่ายในครั้งนี้"
น.ส.ณัฏฐาเนตร ฝักไพโรจน์ หรือน้องเพียวอิ๊ว ตัวแทนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เผยอีกหนึ่งมุมมองว่า "กิจกรรมที่เราได้ลงพื้นที่ไปสอนหนังสือให้กับน้องโรงเรียนห่างไกล ทำให้เราได้เห็นว่าเรามีโอกาสมากกว่าน้อง ๆ มากแค่ไหน แต่ทำไมเราถึงไม่เห็นถึงคุณค่าของคำว่า"โอกาส" นั้น ๆ ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้เองทำให้เราเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนมุมมองใหม่เพราะโอกาสดี ๆ ไม่ใช่ว่าจะมีกันทุกคน ถ้ามีโอกาสควรจะใช้ให้เต็มที่ และนอกจากนี้เรายังได้รับมิตรภาพที่จริงใจจากน้อง ๆ ที่มอบให้กับเราอีกด้วย"
ด้านอาจารย์สุภาวดี โชติวรรณพร รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการประถมและมัธยม โรงเรียนสารสาสน์เอกตรา กล่าวปิดท้ายว่า "กิจกรรมค่ายพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้นำและช่วยเหลือชุมชนรุ่นที่ 18 จัดขึ้นเพื่อต้องการปลูกฝังทักษะและคุณธรรมที่มีค่ายิ่งในการดำเนินชีวิตและต้องการให้นักเรียนเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านและของน้อง ๆ ที่อยู่โรงเรียนห่างไกลที่ไม่ได้รับโอกาสมากเท่ากับพวกเขา (นักเรียนโรงเรียนสารสาสน์เอกตรา) แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องการให้นักเรียนของเรา เห็นถึงคุณค่าของคำว่าแบ่งปันน้ำใจให้กับผู้อื่น ซึ่งหัวใจหลักของกิจกรรมนี้คือประสบการณ์นอกห้องเรียนที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหน นอกจากการลงพื้นที่แล้วได้เห็นสิ่งที่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้"
การมุ่งพัฒนานักเรียนให้เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพมีคุณงามความดี ทั้งทางกาย วาจา ใจ จึงจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิต เพื่อการเป็นคนดีมีความซื่อสัตย์ สุจริต มีความอดทน มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ มีความกตัญญูกตเวที มีความเมตตากรุณา ซึ่งจะทำให้ผู้ปฏิบัติและสังคมเกิดความสงบสุข เมื่อนักเรียนได้ฝึกฝนตนเองจนเกิดคุณธรรมดังกล่าวแล้ว คุณธรรมเหล่านั้นก็จะเป็นสิ่งที่คอยควบคุมกำกับ และน้อมนำให้เมล็ดพันธุ์แห่งความดีเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพในสังคมต่อไป