แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงนโยบายทางการเงินแบบอนุรักษ์นิยมของบริษัทและโอกาสในการเติบโตจากธุรกิจบริหารโรงแรมและธุรกิจการศึกษา โดยบริษัทได้รับการคาดหมายว่าจะดำรงความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ได้เพื่อต้านทานธรรมชาติที่ผันผวนของอุตสาหกรรมโรงแรมและพยุงสถานะเครดิตของบริษัท อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับขึ้นหากบริษัทสามารถปรับปรุงความสามารถในการทำกำไรและกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากอัตรากำไรของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 10% อย่างต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่ง
บริษัทดุสิตธานีเป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมชั้นนำของไทยซึ่งดำเนินงานและให้บริการบริหารโรงแรมภายใต้ชื่อดุสิตธานี ดุสิตปริ้นเซส ดุสิตดีทู ดุสิตเทวารัณย์ และดุสิตเรสซิเดนซ์ บริษัทก่อตั้งในเดือนกันยายน 2509 โดยท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2518 ทั้งนี้ ท่านผู้หญิงชนัตถ์และผู้เกี่ยวข้องดำรงสถานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่มาตั้งแต่หลังการจดทะเบียนบริษัทโดยปัจจุบันถือหุ้นรวมกันในสัดส่วน 49.9%
บริษัทได้เปิดดำเนินการโรงแรม 5 ดาวในชื่อ "ดุสิตธานี" ในกรุงเทพฯ เป็นแห่งแรกในปี 2513 ปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมทั้งหมด 10 แห่ง รวมจำนวน 2,846 ห้อง ซึ่งรวมโรงแรม 3 แห่งของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานีด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังมีโรงแรมภายใต้การบริหารงานและเป็นโรงแรมภายใต้ระบบแฟรนไชส์ของบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวนรวม 3,543 ห้องด้วย นอกจากธุรกิจโรงแรมแล้ว บริษัทยังดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษาและการฝึกอบรมด้วย โดยธุรกิจการศึกษาของบริษัทประกอบด้วย วิทยาลัยดุสิตธานี เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต และธุรกิจด้านการอบรม ในเดือนกันยายน 2558 บริษัทเปิดดำเนินการโรงเรียนดุสิตธานีการโรงแรมโดยเปิดสอนเกี่ยวกับการบริหารงานโรงแรมทุกด้านในหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรและระดับวุฒิบัตร ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจการศึกษาคิดเป็น 9% ของรายได้รวม
ปัญหาทางการเมืองที่คลี่คลายลงและการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นปัจจัยสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในปี 2558 ทำให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยในโรงแรมของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 66% อย่างไรก็ตาม อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนลดลง 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ 3,611 บาทจากสาเหตุหลักคืออัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนที่ลดลงของโรงแรมของบริษัทในภูเก็ต พัทยา และเกาะมัลดีฟส์ อันเกิดจากผลกระทบของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียที่ลดลงและการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดทั้ง 3 แห่งดังกล่าวซึ่งทำให้มีข้อจำกัดในด้านราคา
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทบันทึกรายได้ 3,620 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 6.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยความสามารถในการทำกำไรยังคงเป็นประเด็นท้าทายของบริษัท ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยของอุตสาหกรรม โดยอัตรากำไรของบริษัทอยู่ที่ 10.6% ในปี 2557 และ 15.8% สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2558 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของคู่แข่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ระดับ 26% อัตรากำไรของบริษัทส่วนหนึ่งถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเตรียมบุคคลากรเพื่อรองรับการขยายธุรกิจบริหารโรงแรม แม้จะมีผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลง แต่สภาพคล่องและโครงสร้างเงินทุนของบริษัทยังอยู่ในระดับดีซึ่งเป็นผลจากนโยบายการเงินที่ระมัดระวังของบริษัท โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่ 40.2% (ปรับให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 9.8 เท่าสำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2558 และมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 33.9% ณ เดือนกันยายน 2558
ในอนาคต บริษัทจะยังคงต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงภายในอุตสาหกรรม ทั้งนี้ บริษัทมีแผนกลยุทธ์มุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนโรงแรมที่บริษัทรับบริหารกิจการ โดยบริษัทได้ลงนามในสัญญาให้บริการบริหารกิจการโรงแรมและอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการโรงแรมใหม่ ๆ หลายรายทั้งในประเทศจีน อินเดีย ออสเตรเลีย สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา เวียดนาม และอีกหลายประเทศ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายธุรกิจการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วย หากแผนดังกล่าวประสบความสำเร็จ รายได้จากธุรกิจบริหารกิจการโรงแรมและการศึกษาจะช่วยให้ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทปรับตัวดีขึ้นด้วย
ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นตามสภาวะตลาดที่ฟื้นตัว โดยคาดว่าบริษัทจะมีอัตรากำไรสูงกว่า 14% และมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 800-1,000 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2558-2561 ซึ่งจะเพียงพอต่อการชำระหนี้และรองรับการลงทุนของบริษัท บริษัทมีแผนจะลงทุนรวมราว ๆ 1,900 ล้านบาทในช่วงปี 2558-2561 โดยหลัก ๆ จะเป็นการปรับปรุงคุณภาพของโรงแรมดุสิตธานี มะนิลา และการขยายธุรกิจการศึกษา นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสที่จะขยายธุรกิจโรงแรมและการศึกษาในต่างประเทศด้วย ทั้งนี้ การลงทุนเพิ่มเติมจะช่วยส่งเสริมโอกาสทางธุรกิจของบริษัทในระยะยาว โดยบริษัทมีระดับความสามารถในการก่อหนี้เพิ่มและคาดว่าจะยังคงดำรงสถานะการเงินที่แข็งแรงได้เหมือนเดิม
บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) (DTC)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable