รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาโทการจัดการภาครัฐและเอกชน (MPPM) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2559 คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 3.5-4% โดยจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยทั้งภายนอกและภายในประเทศ เห็นได้จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น กลุ่มประเทศในอียูและจีน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่คิดเป็นสัดส่วนรวมกันประมาณ 60% ของเศรษฐกิจโลกมีการเติบโตที่ดีขึ้นจากการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยในปี 2559 ซึ่งคาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ 2-3%
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ จะมาจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2559 ผ่านการใช้จ่ายด้วยเงินงบประมาณแผ่นดินที่ประกอบด้วย งบการลงทุน 5 แสนล้านบาท งบประมาณคงค้างอีกประมาณ 1.5 แสนล้านบาท งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอีก 3.5 แสนล้านบาทและงบคงค้างของรัฐวิสาหกิจ 2 แสนล้านบาท รวมทั้งหากรัฐบาลสามารถดำเนินการอนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่กว่า 18 โครงการ ด้วยวงเงินงบประมาณ 4 แสนล้านบาท โดยเฉพาะโครงการลงทุนในระบบรถไฟรางคู่ โครงการมอเตอร์เวย์ 3 สาย โครงการลงทุนรถไฟฟ้า แผนลงทุนสนามบินเบตง ก็จะส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจดีขึ้น
นอกจากนี้ หากประเทศไทยสามารถใช้โอกาสในการเข้าสู่ AEC เป็นโอกาสทองสนับสนุนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยการสนับสนุนส่งเสริมผลักดันนโยบายพัฒนาเขตการค้าชายแดนและเขตเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ ให้เป็นรูปธรรมจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในภาคการผลิต ช่วยดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและเทศมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการจ้างงานและกำลังซื้อภายในประเทศให้กลับมาคึกคักมากขึ้น
"เศรษฐกิจไทยปี 59 มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากแรงขับเคลื่อนของภาครัฐเป็นสำคัญ ผ่านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มาจากการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี งบคงค้าง รวมถึงแผนพัฒนาการส่งออกและการค้าชายแดน ซึ่งหากปัจจัยดังกล่าวประสบความสำเร็จย่อมทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวจากปีนี้แน่นอน" รศ.ดร.มนตรี กล่าว