นางสาวสิริทร สิทธิวัฒนาวงศ์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท จาร์เค็น จำกัด เปิดเผยถึงเทรนด์การออกแบบตกแต่งในปี 2559 ว่า มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ผู้บริโภคจะชื่นชอบการออกแบบในสไตล์ โมเดิร์นคลาสสิค แต่ปัจจุบันหันมาสนใจการออกแบบสไตล์โมเดิร์นลักชัวรี่ และเพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้ บริษัทฯจึงมีแผนที่จะขยายตลาดเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมตลาด AEC โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) รวมไปถึงเตรียมความพร้อมนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อขยายการลงทุน ให้รองรับการให้บริการด้านงานดีไซน์อย่างครบวงจร
สำหรับการขยายฐานไปตลาดต่างประเทศนั้น ในช่วงระหว่างวันที่ 6-8 ตุลาคม 2559 บริษัทฯมีแผนไปร่วมออกบู๊ธในงาน "บิลด์ แอนด์ เดคคอร์" ณ เมียนมาร์ อีเวนท์ พาร์ค(MEP) เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งเป็นการรวมผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม และศูนย์การค้า รวมถึงนักลงทุนชาวเมียนมาร์ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯสามารถขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น เป็นการเปิดตลาดใหม่ ๆ ให้ชาวเมียนมาร์ได้รู้จัก จาร์เค็น ในการนำเสนองานออกแบบที่ล้ำสมัยออกสู่สายตาชาวเมียนมาร์ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีมาก และได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างสูงเนื่องจากในตลาดเมียนมาร์เองยังไม่มีบริษัทออกแบบระดับสากลที่ให้บริการอย่างครบวงจรมาก่อน โดยงาน"บิลด์ แอนด์ เดคคอร์" ที่ผ่านมาบริษัทฯสามารถปิดการขายจากชาวเมียนมาร์ โดยมูลค่าการขายอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท
"การที่กลุ่มลูกค้าในเมียนมาร์ให้ความสนใจผลงานของจาร์เค็น เพราะในประเทศเมียนมาร์ กลุ่มแรงงาน ยังขาดประสบการณ์ด้านงานฝีมือทั้งในด้านการก่อสร้างและตกแต่งภายใน ขณะที่ประเทศไทยมีแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญ และฝีมือประณีต อีกทั้งจาร์เค็นเอง ยังมีจุดแข็งในด้านของการให้บริการที่ครบวงจร ที่ผ่านมางานที่บริษัทฯได้มาจะเป็นงานออกแบบ และตกแต่งภายใน บ้านพักอาศัย และคอนโดฯ ซึ่งการที่ลูกค้าชาวเมียนมาร์หันมาสนใจการออกแบบสไตล์โมเดิร์นลักชัวรี่มากขึ้นนั้น เพราะเริ่มเปิดรับอิทธิพลจากตะวันตกมากขึ้น อีกทั้งเป็นกลุ่มที่มีการศึกษาสูง ทำให้มีไลฟ์สไตล์และความต้องการที่เปลี่ยนไป คาดว่าในงาน "บิลด์ แอนด์ เดคคอร์" บริษัทฯจะสามารถปิดยอดขายได้ประมาณ 30 ล้านบาท" นางสาวสิริทร กล่าว
อย่างไรก็ตามในปี2558 คาดว่าทั้งกลุ่มจาร์เค็นฯจะมียอดขายรวมอยู่ที่ 400 ล้านบาท และ ในปี 2559 ทั้งกลุ่มจะมีรายได้รวม 450 ล้านบาท แบ่งยอดขายจากต่างประเทศ 20% และในประเทศ 80%