นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า ประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก และในช่วงเทศกาล สถิติการเกิดอุบัติเหตุยังเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่ากว่าช่วงเวลาปกติ ดังนั้นการรณรงค์ให้ผู้ขับขี่ตระหนักถึงความปลอดภัยจึงเรื่องสำคัญที่สุดที่จะช่วยลดอุบัติเหตุได้ โดยเฉพาะ เมาไม่ขับ เพราะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ประสิทธิภาพในการขับรถลดลง ไม่สามารถแก้ไขเหตุฉุกเฉินได้ทันท่วงที แต่ทั้งนี้หากจำเป็นต้องดื่มจริงๆ ควรใช้บริการรถสาธารณะ นอกจากนี้ควรตรวจสอบสภาพร่างกาย สภาพรถให้พร้อม
"เรื่องเมาไม่ขับ ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่เราต้องเร่งสร้างจิตสำนึก เพราะนอกจากจะทำให้ตัวเองปลอดภัยแล้ว ยังทำให้ผู้ที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกันปลอดภัยด้วย โดยในช่วงเทศกาลปีใหม่ปี 2558 ที่ผ่านมา พบว่าจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดมีผู้ขับขี่ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วยถึงร้อยละ 32.48 ดังนั้นหวังว่าในปีนี้สถิติดังกล่าวน่าจะลดลงเนื่องจากหน่วยงานต่างๆ มีการออกมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น นอกจากนี้ต้องงดขับรถเร็ว สวมหมวกนิรภัย คาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง เคารพกฎจราจร ไม่ฝ่าไฟแดง หรือย้อนศร และที่สำคัญที่สุดคือต้องมีสติ และสมาธิในการขับรถ งดการใช้โทรศัพท์เด็ดขาด" นพ.อนุชา กล่าว
นอกจากนี้ผู้ใช้รถใช้ถนน ควรระมัดระวังเป็นพิเศษในจุดเสี่ยงต่างๆ ด้วย อาทิ 1.จุดกลับรถ ซึ่งมักเกิดอุบัติเหตุจากการกลับรถกะทันหัน 2.เส้นทางที่มีรถบรรทุก หรือรถขนาดใหญ่วิ่งเป็นจำนวนมาก 3.เส้นทางตรงยาวๆ เพราะอาจทำให้ผู้ขับขี่ง่วงได้ 4.ทางแยก ทางร่วมต่างๆ 5.ทางที่ไม่มีสัญญาณไฟจราจร 6.ทางโค้ง ทางขึ้นเขา ทางลาดชัน ซึ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ควรขับรถเร็วเพราะจะทำให้ควบคุมรถได้ยากลำบาก แต่ทังนี้หากเจ็บป่วยฉุกเฉินสามารถโทรแจ้งได้ที่สายด่วน 1669 บริการฟรีตลอด 24 ชั่วโมง
ด้าน น.พ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ประธานทุนง่วงอย่าขับในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มูลนิธิรามาธิบดี กล่าวแนะนำต่อว่า สำหรับผู้ที่จะเดินทางควรพักผ่อนให้เพียงพอ เนื่องจากมีการสำรวจพบว่าคนไทยจะนอนน้อยกว่ามาตรฐาน 1-2 ชั่วโมง และหากง่วงขณะขับรถ ควรจอดพัก และนอนงีบประมาณ 12 นาที เพื่อเพิ่มความสดชื่น
อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล ผลิตอุปกรณ์ตรวจวัดความง่วง เพื่อลดการสูญเสีย โดยเครื่องนี้จะวัดคลื่นสมอง การกระพริบตา การกรอกลูกตา หากพบความผิกปกติก็จะแจ้งเตือนทันที ซึ่งเครื่องนี้มีต้นทุนเพียง 5,000 บาทเท่านั้น แต่คุ้มค่าและมีประโยชน์มาก นอกจากนี้สิ่งสำคัญคือควรสร้างจิตสำนึกในระยะยาว คือ สอนให้เด็กเห็นความสำคัญของการนอน , และควรออกกฎหมายให้พนักงานขับรถสาธารณะขับรถไม่เกิน 10 ชั่วโมง และต้องหยุดพักทุกๆ 2 ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้รัฐควรเพิ่มจุดพักรถ เพราะขณะนี้ทั้งประเทศมีเพียง 5 จุดเท่านั้น