กรุงเทพฯ--23 พ.ย.--เดอะ เพาเวอร์ ออฟ เชนจ์
“เดอะ เพาเวอร์ ออฟ เชนจ์” คัดมือดีทั้งจากในและนอกองค์กร ตั้งทีมเฉพาะกิจ “Force One” รองรับการขยายตัว “พิซซ่า ทูเดย์ กรุ๊ป” บริษัทแม่เข้าจดทะเบียนในตลาดฯ ปี 2550 มั่นใจผลักดันบริษัทโตขึ้น 5-10 % ติวเข้มทีมงานรับงานสัมมนาใหญ่หมื่นคน “The Power of Change” 26 พ.ย.นี้ ล่าสุด ประกาศแผนรุกธุรกิจหนังสือควบคู่งานสัมมนา พร้อมเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ “คิด พูด ทำ รวย” สื่อผู้อ่านเข้าใจถึงกลยุทธ์สู่ความสำเร็จ ตั้งเป้าทำรายได้จากหนังสือเพิ่มขึ้น 10 %
นายศุภกิจ รุ่งโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท เดอะ เพาเวอร์ ออฟ เชนจ์ จำกัด (The Power of Change) เปิดเผยว่า ตนได้วางแผนรองรับการขยายตัวของบริษัทฯ ในอนาคต และสร้างความแข็งแกร่งการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งรองรับการเติบโตของบริษัท พิซซ่า ทูเดย์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ที่มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2550 จึงได้คัดเลือกพนักงานระดับบริหารของบริษัทฯ และบุคลากรที่มีความสามารถจากภายนอกเข้ามาดูแลรับผิดชอบงานบริษัทฯ เพิ่มขึ้น ตั้งชื่อทีมงานชุดนี้ว่า “Force One” ด้วยจำนวนทั้งสิ้น 11 คน ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญผลักดันให้บริษัทฯ และบริษัทในเครือพิซซ่า ทูเดย์ กรุ๊ป จำกัด มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 5-10 %
ในช่วงแรกวางแผนให้ทีม Force One เข้ามาดูแลและรับผิดชอบงานของบริษัท เดอะ เพาเวอร์ ออฟ เชนจ์ เนื่องจากอยู่ระหว่างการเตรียมงานสัมมนา The Power of Change ซึ่งได้ร่วมมือกับ 3 พันธมิตร ได้แก่ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด บริษัท สยามรวมน้ำใจ จำกัด และบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ใช้งบการตลาดทั้งสิ้นประมาณ 10 ล้านบาท โดยงานสัมมนาดังกล่าวจะมีขึ้นในวันที่ 26 พฤศจิกายน ศกนี้ ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี จำนวนผู้เข้าร่วมสัมมนาประมาณ 10,000 คน จากนั้นทีม Force One จะเข้าไปดูแลรับผิดชอบงานในบริษัทต่างๆ ในเครือพิซซ่า ทูเดย์กรุ๊ป เพื่อให้การทำงานขององค์กรมีประสิทธิภาพสูงสุด และคาดว่าบริษัทฯ จะมีการปรับโครงสร้างบริหารอีกครั้งประมาณกลางปี 2549
ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้จัดคอร์สอบรมและสัมมนาให้กับทีม Force One เพื่อสร้างความเข้าใจในบทบาทและหน้าที่การทำงาน โดยกำหนดยุทธศาสตร์หลักสูตรการบริหารไว้ 3 ส่วนคือ Power of Change พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง Power of Leadership พลังแห่งการเป็นผู้นำ และ Power of Thinking พลังแห่งความคิด การอบรมครั้งนี้มุ่งเน้นให้ทีม Force One เข้าใจถึงระบบการทำงานและวิธีการคิดที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ทั้งในเรื่องหน้าที่การงาน ครอบครัว และส่วนตัว
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในขณะนี้ ได้มีการเปิดตัวหนังสือบริหารเล่มใหม่ชื่อ “คิด พูด ทำ รวย โดยศุภกิจ รุ่งโรจน์” เริ่มวางจำหน่ายไปเมื่อประมาณกลางเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา ตามร้านหนังสือ ดิสเคาท์สโตร์ และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงกลยุทธ์ของการทำงานที่ประสบความสำเร็จมากขึ้น และทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากการจำหน่ายหนังสือเพิ่มขึ้นจากเดิม 5-10 %
“หนังสือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่บริษัทฯ มีโครงการขยายงานอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นช่องทางตลาดที่สามารถเติบโตควบคู่ไปกับธุรกิจทอล์คโชว์ปลุกพลังความคิดได้ ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าจะทำรายได้จากธุรกิจทอล์คโชว์ฯ ประมาณ 30-35 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 2549 เนื่องจากธุรกิจประเภทนี้ในปัจจุบันยังไม่มีคู่แข่ง รวมทั้งมีโอกาสและช่องว่างตลาดอีกมาก ซึ่งในช่วง 2 ปีที่แล้วบริษัทได้ทดลองทำตลาดและประสบความสำเร็จด้วยดี สามารถทำรายได้ประมาณ 35 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 100%” นายศุภกิจกล่าว
ส่วนธุรกิจเมอชั่นไดซิ่งที่จะเข้าไปทำตลาดและเริ่มได้ในปี 2550 โดยจำหน่ายเป็นเสื้อ หนังสือ ตลับเทป วิดีโอ ดีวีดี และซีวีดี รวมถึงสินค้าพรีเมียมต่างๆ ในนาม “เดอะ เพาเวอร์ ออฟ เชนจ์” ตั้งเป้าจะมีอัตราการเติบโตทางด้านรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 10 % จากปีที่แล้วทำรายได้ให้กับบริษัททั้งสิ้นประมาณ 5 % ของรายได้รวมทั้งหมด
สำหรับความคืบหน้าของการจำหน่ายบัตรในงานสัมมนา The Power of Change นั้น ได้มีการสั่งซื้อบัตรเข้าชมงานไปแล้วกว่า 70 % มั่นใจว่าจะสามารถจำหน่ายได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยที่ผ่านมาได้จำหน่ายให้กับบริษัทระดับใหญ่ในประเทศหลายบริษัท และฐานกลุ่มผู้ฟังสัมมนาที่มีอยู่เดิม รวมทั้งพนักงานองค์กรต่างๆ และประชาชนทั่วไป
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อได้ที่
ภัทรา วิฑิตพงษ์วนิช โทร.01-736-8985--จบ--
- พ.ย. ๐๐๙๘ พิซซ่า ทูเดย์ เผย โครงการเพิ่มผลิตภาพฯ ช่วยลดต้นทุน
- ๒๓ พ.ย. TRP พบนักลงทุน Opportunity Day ปักหมุดผลงาน Q4/2567 สดใสต่อเนื่อง
- ๒๓ พ.ย. บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเวทีสัมมนาการลงทุนสุดยิ่งใหญ่แห่งปี "Yuanta Thailand's Investment Insights 2025" ดึงผู้เชี่ยวชาญภาคการลงทุนร่วมติดอาวุธให้นักลงทุนแบบเจาะลึก
- ๒๓ พ.ย. ผลการวิเคราะห์ในช่วง 25 ปี เผยให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัวของหุ้นนอกตลาด (private equity) แม้ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ใหญ่หลายครั้ง