นพ.วิสิทธิ์ สุภัครพงษ์กุล นายกสมาคมมะเร็งนรีเวชไทย กล่าวในโอกาสเป็นประธานในการจัดกิจกรรม One Gift for One Life โดยสมาคมมะเร็งนรีเวชไทย และความร่วมมือจากสโมสรโรตารีกรุงเทพ สุวรรณภูมิ เพื่อรณรงค์ให้ความรู้ เสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อ HPV (Human Papilloma Virus) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งปากมดลูก พร้อมแนวทางการปฏิบัติ และการดูแลอย่างถูกวิธี พร้อมส่งเสริมสุขภาพด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกให้กับน้องๆ สถานแรกรับเด็กหญิงบ้าน ธัญญพร ปทุมธานี ว่า "มะเร็งปากมดลูกเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในประเทศไทย ซึ่งมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อเอชพีวี (HPV) หรือ Human papilloma virus infection โดยเชื้อเอชพีวี (HPV) เป็นไวรัสที่ติดต่อผ่านทางการสัมผัส โดยการสัมผัสที่หมายถึงนี้ ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดก็คือ เพศสัมพันธ์ ผิวหนังหรือเยื่อบุอวัยวะเพศ หรือปากมดลูก เมื่อมีรอยถลอกหรือแผลจะทำให้เชื้อเข้าไปได้ เชื้อเอชพีวีมีอยู่ร้อยกว่าสายพันธุ์ แต่ชนิดที่จะทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกมีประมาณ 15 สายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ 16 และ 18 เป็นสาเหตุประมาณร้อยละ 70 ของมะเร็งปากมดลูกนอกจากนี้อีก 2 สายพันธุ์ที่พบบ่อย คือสายพันธุ์ 6 และ 11 ซึ่งเป็นสาเหตุประมาณร้อยละ 90 ของโรคหูดหงอนไก่ โดยระยะเวลาตั้งแต่ติดเชื้อไวรัสจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็งนั้น ใช้ระยะเวลาประมาณ 10-15 ปี แต่อาจเร็ว หรือ ช้ากว่านี้ได้ และแม้ว่าในปัจจุบันมะเร็งปากมดลูก จะเป็นเพียงมะเร็งชนิดเดียวที่สามารถป้องกันได้ด้วยการตรวจคัดกรองเป็นประจำร่วมกับการฉีดวัคซีน ซึ่งการฉีดวัคซีนเอชพีวีในปัจจุบันนั้นจะมีประโยชน์สูงสุดในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกเมื่อฉีดก่อนได้รับเชื้อเอชพีวี หรือก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ในผู้ที่เป็นโรคแล้วแม้วัคซีนจะไม่สามารถรักษาโรคที่เป็นอยู่ได้ แต่ยังมีประโยชน์ในการป้องกันการกลับเป็นซ้ำ ดังนั้นผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนยังต้องตรวจ คัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอต่อไป"
ด้าน ผศ.พญ. สุทธิดา อินทรบุหรั่น สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับเชื้อเอชพีวี ว่า "การติดเชื้อเอชพีวีสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งหญิงและชาย และจากงานวิจัยพบว่าสามารถพบเชื้อนี้ได้ในที่อับชื้น เช่น ด้ามกดชักโครก ที่รองนั่ง ก๊อกน้ำในที่สาธารณะ (ห้องน้ำห้างสรรพสินค้า, โรงเรียน, สถานบันเทิง เป็นต้น) แต่สาเหตุหลักของการติดเชื้อคือ การมีเพศสัมพันธ์ หลังจากได้รับเชื้อเอชพีวีในสายพันธุ์ที่เสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกแล้วต้องมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ส่งเสริมให้เป็นมะเร็งปากมดลูก ได้แก่ การมีคู่นอนหลายคน, การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย, มีการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรหลายครั้ง, มีประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เริม ซิฟิลิส และหนองใน, การรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานานๆ, การสูบบุหรี่หรืออยู่ในบริเวณที่มีควันบุหรี่, ร่างกายมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือ ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ และสตรีที่ไม่เคยได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมาก่อน โดยในระยะเริ่มแรกของมะเร็งปากมดลูกจะไม่แสดงอาการใดๆ แต่หากเป็นมากแล้วในระยะหลังๆ จะสังเกตอาการหรือสัญญาณเตือนภัยของมะเร็งปากมดลูกได้จากการตกเลือดทางช่องคลอด ซึ่งเป็นอาการที่พบได้มากที่สุดประมาณร้อยละ 80 – 90 ของผู้ป่วยที่มีอาการ โดยเลือดที่ออกจะมีลักษณะเป็นเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างมีรอบประจำเดือน, เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์, มีน้ำออกปนเลือด, ตกขาวปนเลือด และเลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน สำหรับอาการในระยะหลังเมื่อมะเร็งลุกลามมากขึ้นจะมีอาการ ขาบวม, ปวดหลังรุนแรง, ปวดก้นกบและต้นขา, ปัสสาวะเป็นเลือด และถ่ายอุจจาระเป็นเลือด โดยการลุกลามของมะเร็งปากมดลูกแบ่งออกเป็น 2 ช่วงใหญ่ๆ คือ ระยะก่อนมะเร็งหรือระยะก่อนลุกลาม ซึ่งระยะนี้เซลล์เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและยังอยู่ภายในชั้นเยื่อบุผิวปากมดลูก ยังไม่ลุกลามเข้าไปในเนื้อปากมดลูก ผู้ป่วยจะไม่มีอาการผิดปกติเลย แต่จะตรวจพบได้จากการตรวจหาเชื้อไวรัสเอชพีวี หรือการตรวจทางเซลล์วิทยาของปากมดลูก หรือการตรวจคัดกรองที่เรียกว่าการตรวจแป๊ปสเมียร์ สำหรับระยะลุกลามแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือระยะที่ 1 มะเร็งลุกลามอยู่ภายในปากมดลูก ระยะที่ 2 มะเร็งลุกลามไปที่เนื้อเยื่อข้างปากมดลูก หรือผนังช่องคลอดส่วนบน ระยะที่ 3 มะเร็งลุกลามไปที่ด้านข้างของเชิงกราน หรือผนังช่องคลอดส่วนล่าง หรือกดท่อไตจนเกิดภาวะไตบวมน้ำ และระยะที่ 4 มะเร็งลุกลามไปที่กระเพาะปัสสาวะ ทวารหนัก ลำไส้หรืออวัยวะอื่น ๆ เช่น ปอด กระดูก และต่อมน้ำเหลืองนอกเชิงกราน เป็นต้น"
"การวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูกในปัจจุบันทำได้หลายวิธี ทั้งการตรวจภายในพบก้อนมะเร็ง, พบผลผิดปกติของเซลล์วิทยา หรือ แป๊ปสเมียร์ และได้ขลิบชื้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยาภายใต้การส่องกล้องขยายดูปากมดลูกหรือคอลโปสโคป สำหรับแนวทางการรักษามะเร็งปากมดลูกนั้นขึ้นอยู่กับระยะและอาการของมะเร็งปากมดลูกมีทั้งการผ่าตัด ซึ่งถ้ามะเร็งอยู่เฉพาะปากมดลูกอาจจะตัดแค่บริเวณปากมดลูก แต่ถ้ามะเร็งแพร่กระจายมากแพทย์อาจจะตัดมดลูก ท่อรังไข่ รวมทั้งต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง การให้รังสีรักษา การให้เคมีบำบัด เป็นต้น ซึ่งการรักษาต่างก็ให้ผลข้างเคียงที่แตกต่างกันออกไป สำหรับการป้องกันมะเร็งปากมดลูก สามารถป้องกันได้หลายวิธี โดยแบ่งให้เห็นอย่างชัดเจนออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1) ระดับปฐมภูมิหรือระดับตัดต้นตอ คือ การป้องกันไม่ให้ปากมดลูกติดเชื้อเอชพีวี รวมถึงการลดความเสี่ยงต่างๆ และการฉีดวัคซีนเอชพีวี (HPV vaccine) เพื่อเสริมสร้างให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส โดยสามารถฉีดวัคซีนได้ในช่วง 2 อายุ คือ 9 – 13 ปี และ 13 ปีขึ้นไป 2) ระดับทุติยภูมิหรือระดับตรวจคัดกรอง คือ การตรวจคัดกรองเพื่อตรวจหาความผิดปกติบริเวณปากมดลูกเพื่อให้การรักษาก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็งปากมดลูก การป้องกันในระดับนี้มีหลายวิธีเช่นกัน ซึ่งการตรวจคัดกรองนี้สำหรับผู้หญิงไทยแล้วถือได้ว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญมาก เพื่อค้นหาความผิดปกติในระยะก่อนที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก 3)ระดับตติยภูมิหรือระดับของการรักษาหลังจากเป็นโรคแล้ว ซึ่งจะเกิดผลกระทบทั้งทางร่ายกายและจิตใจตามมา"
"มะเร็งปากมดลูก สามารถรักษาและป้องกันได้ เพียงดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หญิงไทยควรได้รับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยทุกๆ 2-3 ปี เพื่อค้นหาความผิดปกติของเซลล์ปากมดลูก รวมถึงการฉีดวัคซีนเอชพีวี เพื่อป้องกันต้นเหตุของมะเร็งปากมดลูก ซึ่งการฉีดวัคซีนควบคู่กับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอจะทำให้การป้องกันมะเร็งปากมดลูกมีประสิทธิภาพสูงมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงหรือลดความเสี่ยงที่จะสัมผัสกับเชื้อเอชพีวี"
อนึ่งโครงการ "One Gift for One Life" เป็นอีกหนึ่งในภารกิจของสมาคมมะเร็งนรีเวชไทยที่ดำเนินการขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรณรงค์ให้ความรู้ เสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อเอชพีวี (Human Papilloma Virus) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งปากมดลูก และสร้างความตระหนักให้หญิงไทย ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก รวมถึงการเข้ารับการคัดกรองเป็นประจำทุกปี หรือการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกด้วยการฉีดวัคซีนเอชพีวี