นายทวี ปิยะพัฒนา ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี ผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปแช่แข็งของประเทศ ภายใต้ตราสินค้าพีเอฟพี หรือ PFP เปิดเผยว่า พีเอฟพี มีความเชื่อมั่นในนโยบายของภาครัฐ ที่จะกระตุ้นและพัฒนาให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวได้ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา จึงทำให้ พีเอฟพีได้ตั้งเป้าการเติบโตขึ้นอยู่ที่ 15-20% หรือมียอดขายรวมประมาณ 6,000 ล้านบาท พร้อมรุกขยายตลาด ให้ครอบคลุมเข้าถึงผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น ทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ ด้วยสัดส่วนการผลิต เพื่อจัดจำหน่ายตลาดในประเทศ 60% และส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ 40%
"จากพฤติกรรมของผู้บริโภคในการเลือกรับประทานอาหารที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทำให้ผู้บริโภคมีความต้องการความสะดวกสบายในการรับประทานอาหารที่มากขึ้น อีกทั้งยังมีกระแสของการดูแลสุขภาพและ ความปลอดภัยของผู้บริโภคที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน ทำให้พีเอฟพี ได้พัฒนาและคิดค้นการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งผลิตภัณฑ์ของพีเอฟพีนั้น ผลิตมาจากเนื้อปลาบดที่ผ่านกระบวนการและกรรมวิธีที่มีประสิทธิภาพ ผลิตด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย โดยคำนึงถึงคุณภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภคอย่างเสมอมา
เรามีแผนที่จะขยายตลาดให้ครอบคลุมในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อรองรับการขยายตัวของผู้บริโภค ทั้งในประเทศ และต่างประเทศที่มีทั้งนักท่องเที่ยวและนักลงทุนในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งจะเป็นการขยายตัวแบบ Urbanization รวมทั้งการขยายตัวของประชากรชาวมุสลิม เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของพีเอฟพีได้รับเครื่องหมาย Halal (ฮาลาล) ซึ่งได้รับการรับรองจากคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยในทุกผลิตภัณฑ์ และเป็นการรักษาฐานลูกค้าและการเติบโตของตลาดฮาลาล ตอบสนองตามนโยบายการส่งเสริมและสนับสนุนการส่งออกสินค้าและบริการฮาลาล ที่จะให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 1 ใน 5 ของโลกภายใน 5 ปีข้างหน้า
สำหรับผลิตภัณฑ์ของพีเอฟพี แบ่งออกเป็น 7 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปูอัด กลุ่มผลิตภัณฑ์เต้าหู้ปลา กลุ่มผลิตภัณฑ์ชุบเกล็ด กลุ่มผลิตภัณฑ์ลูกชิ้นปลา กลุ่มผลิตภัณฑ์แฟนซี กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ กุ้งบาร์บีคิว ซาลาเปาเนื้อปลาไส้เห็ดหอม และกลุ่มผลิตภัณฑ์ส่งออก อาทิ ฟิชฟิวชั่น ทอดมันปลา ลูกชิ้นปลา ซึ่งปัจจุบันพีเอฟพี ได้ส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกกว่า 21 ประเทศ เช่น ประเทศเกาหลี จีน เนเธอร์แลนด์ อิตาลี สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมถึงประเทศในแถบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทั้งประเทศกัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมาร์ และเรายังถือเป็นเจ้าแรกๆ ของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปแช่แข็งที่ส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มประเทศ CLMV" นายทวี กล่าว
ในส่วนของการขยายช่องทางการจำหน่ายนั้น นายธวัชชัย รัตนะพิสิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี. เปิดเผยว่า ในปีนี้พีเอฟพีมีแผนในการขยายช่องทางการจำหน่ายอื่นๆ เพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น ทั้ง Modern Trade และ Horeca ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า สำหรับตลาดต่างประเทศนั้น บริษัทฯ แบ่งช่องทางการจำหน่ายออกเป็น 3 ช่องทางได้แก่ Super Market ในต่างประเทศ ร้านอาหารต่างๆ และผู้นำเข้ารายใหญ่ที่มีมากกว่า 21 ประเทศ และจะขยายตลาดใหม่ในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่น ในกลุ่มประเทศ CMLV และตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ พีเอฟพี ยังได้วางแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ด้วยการพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ ซึ่งรองรับการเติบโต ของตลาดอาหารสุขภาพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคสมัยใหม่ในปัจจุบัน โดยพีเอฟพี มีทีม R&D ที่คอยวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์มีคุณประโยชน์และคุณภาพตามมาตรฐานสากล พร้อมปรับรสชาติให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในทั่วทุกมุมโลก รวมทั้งมีแผนที่จะแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ออกจากอาหารแช่แข็ง ซึ่งจะเป็นการออกผลิตภัณฑ์ในรูปแบบ Retort ทำให้ผลิตภัณฑ์สามารถเก็บได้โดยไม่ต้อง แช่แข็งอีกด้วย
"และเนื่องในโอกาสที่ปีนี้ บริษัทฯ ได้ครบรอบ 30 ปี ของการดำเนินธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปแช่แข็ง จึงได้จัดแคมเปญพิเศษขึ้น เพื่อขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจและให้การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของพีเอฟพีเสมอมา อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นยอดขาย ด้วยแคมเปญ "PFP 30 ปี ลุ้นทวีโชค" จากการส่งชิ้นส่วนมุมซองของผลิตภัณฑ์พีเอฟพีที่ร่วมรายการมาชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 2,500,000 บาท ประกอบด้วย รถมอเตอร์ไซค์ YAMAHA รุ่น GT125 30 คัน สร้อยคอทองคำ 30 บาท พร้อมลุ้นรางวัลใหญ่ปลายปี รถกระบะ IZUZU D-Max Hi-Lander จำนวน 1 รางวัล ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2559 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดกิจกรรม Road Show ไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อสร้างการรับรู้และการจดจำในแบรนด์พีเอฟพีแก่กลุ่มเป้าหมายอีกด้วย" นายธวัชชัยกล่าว