นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ และนายธนพันธุ์ คงนันทะ รองกรรมการผู้จัดการสายงานธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมกันสรุปผลการดำเนินงานของอิชิตัน กรุ๊ป ประจำปี 2558 ด้วยรายได้ประมาณ 6,400 ล้านบาท โดยยังคงเป็นผู้นำอันดับด้วยส่วนแบ่ง 43.4% ของตลาดชาพร้อมดื่มที่มีมูลค่า 15,574 ล้านบาท พร้อมชี้แจงภาพรวมการแข่งขันที่เป็นไปอย่างเข้มข้นตลอดทั้งปีที่ผ่านมา พบว่าจากข้อมูลตัวเลขการบริโภคชาพร้อมดื่มล่าสุดตลอดปี 2558 มีปริมาณการบริโภคชาพร้อมดื่ม (Volume) 470.7 ล้านลิตร คิดเป็นการขยายตัวขึ้น 0.7% ในขณะที่การบริโภคมีมูลค่า (Value) 15,574 ล้านบาท ลดลง 2.5 % จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นสภาพการแข่งขันเป็นไปในทิศทางการใช้สงครามราคาเข้ามานำตลาดตลอดทั้งปี
การแข่งขันส่วนใหญ่กระจุกตัวที่ 2 แบรนด์หลัก ในขณะที่บางแบรนด์มีความพยายามในการสร้างจุดยืนของตนเอง เช่นการใช้ชาปราศจากน้ำตาล หรือใช้ชาอู่หลงเป็นจุดขาย อย่างไรก็ตามหากแบรนด์ใดไม่มีการเคลื่อนไหว หรือปรับตัวก็จะส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลงอย่างชัดเจน
"ในปี 2559 อิชิตันยังคงมองภาพรวมตลาดอย่างมีความหวัง และจะเป็นกำลังใจให้กับรัฐบาลในการใช้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบอย่างต่อเนื่อง พร้อมคาดการณ์ว่าจากความพยายามของรัฐบาล สภาพเศรษฐกิจน่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี
จากความท้าทายที่เกิดขึ้น อิชิตันจึงใช้เป็นแรงผลักดันให้เป็นปีแห่งการก้าวไปอีกขั้น ด้วยการไม่จำกัดธุรกิจอยู่เพียงการเป็นบริษัทที่ผลิตชาพร้อมดื่มอีกต่อไป ภายในปีนี้น่าจะได้เห็นสินค้าอีกมากมายที่อยู่นอกเหนือธุรกิจชาพร้อมดื่ม ที่จะเริ่มทะยอยออกสู่ตลาดภายในไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป โดยมูลค่ารวมของตลาดใหม่ๆ ที่อิชิตันจะพุ่งเป้าเข้าไปมีส่วนแบ่งทางการตลาด มีมูลค่ารวมกันถึง 40,000 ล้านบาท" ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว
สำหรับสินค้าในกลุ่มเดิม ทั้ง อิชิตัน กรีนที เย็นเย็น และน้ำผลไม้ไบเล่ นั้น บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้นำตลาดได้มีการส่งกลยุทธ์การปรับขนาดให้มีความหลากหลายถึง 7 ขนาด คือตั้งแต่ 290 ML. - 840 ML. ราคาตั้งแต่ 10 – 27 บาท เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มอย่างครอบคลุม และกำลังพัฒนาให้สินค้าทุกแบรนด์มีความหลากหลายของรสชาติ และรูปแบบให้มากขึ้นเพื่อสร้างไดนามิคของแบรนด์ให้คึกคักและมีนวตกรรม ทั้งนี้เพื่อรักษาสภาพการแข่งขันของธุรกิจให้เป็นไปอย่างมั่นคง และเอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพให้กับสินค้าอย่างยั่งยืนในอนาคต
ในขณะที่ธุรกิจต่างประเทศ อันได้แก่ บริษัท พีที อิชิตัน อินโดนิเซีย จำกัด ซึ่งได้เริ่มวางจำหน่ายสินค้า 2 รสชาติไปในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี ดังนั้นปี 2559 จะเป็นปีแห่งการสร้างแบรนด์ และทำตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างฐานที่มั่นให้เร็วที่สุด พร้อมทั้งเตรียมพัฒนาสินค้าอีก 2-3 ชนิดเข้าสู่ตลาดอินโดนิเซีย โดยยังคงกลยุทธ์ความได้เปรียบจากความแข็งแกร่งของพันธมิตรให้เป็นประโยชน์ อย่างบริษัท พีที อาทรี่ แปซิฟิค จำกัด ที่บริหารร้านสะดวกซื้อในกลุ่มอัลฟ่ามาร์ท กว่า 10,000 สาขาในอินโดนิเซีย และ มิตซูบิชิ คอร์เปอร์เรชั่น จากประเทศญี่ปุ่น คาดว่าจากความได้เปรียบนี้จะทำให้ พีที อิชิตัน อินโดนิเซีย สร้างยอดขายให้อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
โดยคาดว่าการใช้กลยุทธ์รักษาที่มั่น และสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์เดิมที่มีอยู่ การเพิ่มสินค้าอื่นๆ นอกพอร์ตธุรกิจชาพร้อมดื่ม และการสร้างตลาดอย่างจริงจังในตลาดประเทศอินโดนิเซีย อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จะสามารถสร้างรายได้ถึง 7,500 ล้านบาท ในปี 2559