จุฬาฯ เร่งให้ความรู้ “รับมือไข้เลือดออก”

อังคาร ๒๖ มกราคม ๒๐๑๖ ๑๖:๔๘
รศ.นพ.ชิษณุ พันธุ์เจริญ อาจารย์ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาประชาชนเริ่มมีความวิตกกังวลและตื่นตระหนกกลัวกับโรคไข้เลือดออกที่แพร่ระบาดมากขึ้น แต่ในความจริงแล้ว แพทย์โดยเฉพาะกุมารแพทย์คนไทยมีความรู้ความเข้าใจในการวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกและการดูแลรักษาผู้ป่วยเป็นอย่างดี ทำให้การดูแลรักษาผู้ป่วยในปัจจุบันมีประสิทธิภาพสูง จนเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ อัตราตายของผู้ป่วยได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนในปัจจุบันมีอัตราตายลดลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 0.5 ซึ่งหมายถึง ถ้ามีผู้ป่วยไข้เลือดออก 1,000 ราย จะมีผู้ป่วยเสียชีวิตไม่เกิน 5 ราย

โรคไข้เลือดออกในประเทศไทยเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี มีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า ไข้เลือดออกเดงกี แต่มักเรียกทั่วไปว่า "ไข้เลือดออก"เชื้อไวรัสเดงกีมี 4 ชนิดคือ เดงกี-1, เดงกี-2, เดงกี-3 และเดงกี-4ทำให้คนเรามีโอกาสที่จะป่วยจากโรคไข้เลือดออกได้หลายครั้งไวรัสเดงกีเป็นเชื้อที่เป็นสาเหตุของไข้เลือดออก แต่ตัวการที่แท้จริงหรือพาหะนำโรคที่สำคัญคือ "ยุงลาย"เมื่อยุงลายที่มีเชื้อไวรัสเดงกีกัดคน จะถ่ายทอดเชื้อให้คน ทำให้เกิดการติดเชื้อตามมายุงลายมักออกหากินและกินเลือดคนในเวลากลางวัน และวางไข่ในน้ำสะอาดที่ขังนิ่ง

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเดงกีจำนวนไม่น้อยจะไม่แสดงอาการใดๆ ในขณะที่ผู้ติดเชื้อบางคนมีเพียงอาการไข้ ปวดศีรษะและกล้ามเนื้อเท่านั้นซึ่งเรียกว่า "ไข้เดงกี"กรณีที่มีการรั่วของพลาสม่าหรือน้ำเหลืองออกจากเส้นเลือดของผู้ป่วย ซึ่งทำให้ความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้น มีน้ำในช่องปอดและช่องท้อง จะเรียกว่า "ไข้เลือดออก"ผู้ป่วยบางรายที่มีการรั่วของพลาสม่าจำนวนมากอาจมีภาวะช็อกร่วมด้วย

รศ.นพ.ชิษณุ เปิดเผยอีกว่าปัจจุบันการระบาดของโรคเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยการระบาดใหญ่ในบางปีอาจมีผู้ป่วยหลายแสนคน ปัจจัยที่เกื้อหนุนให้เกิดการระบาดของโรคไข้เลือดออกอย่างต่อเนื่องได้แก่ การคมนาคมที่สะดวกรวดเร็ว อุณหภูมิของโลกที่เปลี่ยนไป และความเป็นอยู่ที่แออัดของผู้คน ผู้ป่วยไข้เลือดออกพบได้ตลอดปี แต่พบบ่อยในช่วงหน้าฝน และมักมีการระบาดใหญ่ทุก 3-5 ปี ปัจจุบันยังไม่มีแนวโน้มว่าจะสามารถควบคุมการระบาดของโรคไข้เลือดออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้ป่วยไข้เลือดออกในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากเดิมที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก เปลี่ยนเป็นเด็กโต วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ที่มีอายุน้อย ซึ่งส่งผลให้อาการของผู้ป่วยไข้เลือดออกเปลี่ยนแปลงไปด้วย ระยะเวลาของไข้ยาวนานขึ้น พบอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและอาการปวดศีรษะมากขึ้น ขณะที่อาการตับโตและภาวะช็อกที่พบบ่อยในเด็กเล็กพบน้อยลง

สำหรับอาการของผู้ป่วยไข้บางคนมีเพียงอาการไข้สูง ปวดเมื่อยเนื้อตัว แล้วก็หายจากโรคโดยไม่จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ในขณะที่ผู้ป่วยอีกจำนวนหนึ่งเกิดภาวะเลือดออกและมีภาวะช็อกร่วมด้วยจากการศึกษาวิจัย พบว่า ปัจจุบันผู้ป่วยไข้เลือดออกที่มีความรุนแรงมักเกิดจากการติดเชื้อครั้งที่สอง ผู้ป่วยที่มีปริมาณของไวรัสมากจะมีอาการของโรครุนแรง และเชื่อว่าไวรัสเดงกี-2 ทำให้เกิดการรั่วของพลาสม่าได้มากกว่าไวรัสชนิดอื่น ส่วนไวรัสเดงกี-3 มักทำให้เกิดอาการทางสมองและ

รศ.นพ.ชิษณุ บอกอีกว่า อาการของโรคไข้เลือดออกจำแนกเป็น 3 ระยะได้แก่ ระยะไข้ ระยะวิกฤติ และระยะพักฟื้น การมีความรู้เกี่ยวกับระยะของโรคจะทำให้เกิดความเข้าใจอย่างชัดเจนในการวินิจฉัยโรค การดูแลผู้ป่วยเบื้องต้น รวมทั้งช่วยให้สามารถพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ในช่วงเวลาที่เหมาะสมอาการที่สำคัญในระยะแรกของโรคไข้เลือดออกคือ อาการไข้สูงลอย หน้าแดง คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ และอาจมีภาวะเลือดออกร่วมด้วย อาการของผู้ป่วยไข้เลือดออกส่วนใหญ่จะไม่ปรากฏพร้อมๆ กัน จึงต้องเฝ้าติดตามเป็นระยะๆ ส่วนใหญ่จะชัดเจนและง่ายต่อการวินิจฉัยโรคมากขึ้นเมื่ออาการไข้ดำเนินมาถึงวันที่ 3ลักษณะที่สำคัญในผู้ป่วยไข้เลือดออกคือ อาการ "ไข้สูงลอย""ไข้สูง" หมายถึง ไข้ที่สูงตั้งแต่ 38.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป "ไข้ลอย" หมายถึง ไข้ที่เป็นอยู่นานและไม่ลดลงจนเป็นปกติตลอดระยะไข้ของโรค ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีไข้สูง 39-40.5 องศาเซลเซียส หากได้รับยาลดไข้อาจทำให้ไข้ลดลงเพียงเล็กน้อยในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นดังนั้นผู้ป่วยที่มีประวัติไข้เป็นๆ หายๆ หรือผู้ป่วยที่มีไข้เฉพาะในเวลากลางคืนจึงมีโอกาสเป็นไข้เลือดออกน้อย การติดตามไข้เป็นระยะๆ โดยใช้ปรอทวัดไข้สำหรับผู้ป่วยที่มีไข้เป็นสิ่งจำเป็นโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่สงสัยว่าอาจเป็นไข้เลือดออกตำแหน่งที่พบเลือดออกได้บ่อยคือ ผิวหนัง เยื่อบุจมูก ช่องปาก และกระเพาะอาหาร ภาวะเลือดออกในอวัยวะอื่นๆ รวมถึงเลือดออกในสมองพบได้น้อยมาก หากผู้ป่วยเป็นเพศหญิง อาจจะมีประจำเดือนมากหรือนานกว่าปกติ

ผู้ป่วยไข้เลือดออกที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถดูแลรักษาที่บ้านได้ การดื่มน้ำผลไม้ น้ำเกลือแร่ หรือน้ำธรรมดาให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง แนะนำให้จิบบ่อยๆ ทีละน้อย ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำที่มีสีแดงหรือสีดำ เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยอาเจียนอาจทำให้เข้าใจผิดว่าอาเจียนเป็นเลือดได้

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๘ เม.ย. ARDA จับมือ ฟาร์ม เอ็กซ์โป และพันธมิตร เปิดศึก AGRITHON by ARDA Season 2 เฟ้นหาสุดยอดไอเดียปลุกพลังนวัตกรรมเกษตรไทย ชิงทุนวิจัยรวมกว่า 100
๑๘ เม.ย. กรุงศรี ฉลอง 80 ปี ดูหนัง 80 บาท ที่ Major Cineplex เมื่อชำระด้วยบัตรกรุงศรี เดบิตและบัตร Krungsri Boarding
๑๘ เม.ย. แบรนด์ซุปไก่สกัด รณรงค์ขับขี่ปลอดภัยในโครงการ สมองล้าอย่าขับ พักดื่มแบรนด์ จับมือ ตำรวจทางหลวง และ ตำรวจจราจร
๑๘ เม.ย. ซัมซุงจัดใหญ่! เป็นเจ้าของ ตู้เย็น Side by Side รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมรับสิทธิพิเศษแบบจุใจ ได้แล้ววันนี้
๑๘ เม.ย. ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดกนง.มีมติลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนเมษายนนี้
๑๘ เม.ย. EXIM BANK ร่วมกับกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs รับมือนโยบายภาษีแบบตอบโต้ของสหรัฐฯ
๑๘ เม.ย. ปักหมุด! เตรียมจัดงาน PET Expo Thailand 2025 จัดยิ่งใหญ่ครบรอบ 25 ปี
๑๘ เม.ย. ลดคลายร้อน ช้อปแลคตาซอย 1,000 ลด 100 พร้อมชวนร่วมสนุกถ่ายภาพคู่แลคตาซอย ลุ้น 10 รางวัล
๑๘ เม.ย. DITP ประชุมผู้จัดแสดงสินค้า เตรียมความพร้อมสู่เวที THAIFEX - ANUGA ASIA 2025
๑๘ เม.ย. โรงแรมเครือดุสิตธานี เปิดตัวโปรพิเศษต้อนรับซัมเมอร์ 'A Night on Us' เติมเต็มวันพักผ่อนอย่างมีความสุขกับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตธานีทั่วโลก