รองโฆษกกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า ศวพก. เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อเก็บรักษา วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้งกุลาดำและสายพันธุ์อื่นที่เป็นกุ้งเศรษฐกิจและกุ้งพื้นเมืองเดิมในประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการผลิตพ่อแม่พันธุ์ปลอดโรคจากรุ่นสู่รุ่น โดยเน้นพัฒนาพันธุ์ที่เน้นน้ำหนักตัวที่อายุ 5 เดือนซึ่งเป็นอายุที่จับขาย จนถึงปัจจุบันพัฒนาสายพันธุ์ได้ถึงรุ่นที่ 7 มีน้ำหนักตัวเฉลี่ยเมื่ออายุ 5 เดือน 26 กรัมต่อตัว จากรุ่นสู่รุ่นได้พัฒนากุ้งที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ โดยพบว่ากุ้งรุ่นที่ 6 มีน้ำหนักเฉลี่ยมากกว่ารุ่นที่ 5 ประมาณร้อยละ 30 จนถึงปัจจุบัน ศวพก. ได้ส่งลูกกุ้งให้เกษตรกรแล้ว 90 ล้านตัว และส่งพ่อแม่พันธุ์ให้เอกชน 3,500 ตัว อีกทั้งยังส่งกุ้งวัยรุ่นและลูกกุ้งให้ศูนย์เพิ่มจำนวนพ่อแม่พันธุ์กุ้ง 15,000 และ 900,000 ตัวตามลำดับ สร้างมูลค่าประมาณ 24 ล้านบาท
ดร.วรวรงค์ กล่าวต่อว่า รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ให้ความสนใจในองค์ความรู้ที่สะสมมาตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี โดยใช้เวลาพูดคุยและซักถามกับนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยตลอดการเยี่ยมชม ศวพก. อย่างละเอียด ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเพาะเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ในอาคารที่ควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ ณ 28 องศาเซลเซียส การผสมเทียมกุ้งพ่อแม่พันธุ์ การเพาะฟักไข่กุ้ง การดูแลลูกกุ้งและกุ้งวัยรุ่น ตลอดจนวิธีการวัดน้ำหนักกุ้งในบ่อปลอดเชื้อถึง 20,000 ตัว รวมถึงการควบคุมโภชนาการ เทคนิคการเลี้ยงและวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ครอบครัวกุ้งรุ่นต่อไปตามแผนการผสมพันธุ์
"ท่านรัฐมนตรีฯ ยังให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาที่ยั่งยืน โดยขอให้ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. เร่งถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาสายพันธุ์กุ้งให้กับมหาวิทยาลัยในพื้นที่ พร้อมกับดึงเกษตรกรในพื้นที่ให้มามีส่วนร่วม เพราะศวพก. มีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมในการสร้างองค์ความรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืน" รองโฆษก วท. กล่าว