นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GLหนึ่งในผู้นำผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ กล่าวชี้แจงว่า โมเดลธุรกิจใหม่นี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของระบบอีไฟแนนซ์ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยฝ่ายไอทีของ GL โดยสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีต้นทุนต่ำ เพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชนบทที่ไม่มีบัญชีธนาคารและไม่สามารถกู้เงินในระบบ โดยบริษัท GLF ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ GL ในประเทศกัมพูชาได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดียิ่งจากระบบอีไฟแนนซ์ใหม่นี้ ซึ่งระบบดังกล่าวถูกนำไปใช้ในธุรกิจใหม่ที่ สปป.ลาวและพร้อมจะนำไปใช้ในตลาดใหม่อื่นๆ ในอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซียซึ่ง GL ได้จดทะเบียนบริษัทร่วมทุนกับกลุ่มธนาคาร J TRUST ซึ่งเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ โดยคาดว่าบริษัทฯ ร่วมทุนจะได้รับใบอนุญาตภายในไตรมาสนี้และสามารถเริ่มดำเนินกิจการได้ในไตรมาส2/59
นายมิทซึจิ กล่าวชี้แจงเพิ่มเติมว่า ระบบอีไฟแนนซ์ใหม่นี้นอกเหนือจากสามารถตอบสนองความต้องการธุรกิจเช่าซื้อสินค้าประเภทเดิมของ GL อาทิ รถมอเตอร์ไซค์ HONDA และเครื่องจักรกลเกษตร KUBOTA แล้ว ยังนำมาใช้เป็นต้นแบบในการให้บริการสินเชื่อสำหรับสินค้าประเภทอื่นๆ เช่น แผงโซล่าร์เซลล์และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ โดยอาศัยเครือข่าย POS (Point of Sale) หรือจุดบริการขาย ซึ่งตั้งอยู่ภายในอาคารของเอเย่นต์สินค้าต่างๆ ที่ GL ให้บริการสินเชื่อ จึงส่งผลดีต่อ GL ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมากในการตั้งสาขา เช่นเดียวกับบริษัทไฟแนนซ์อื่นๆ โดยล่าสุดGL มี POS เกือบ 200 แห่งทั่วประเทศกัมพูชา
"ระบบอีไฟแนนซ์นี้เป็นสิ่งที่ฝ่ายไอทีของเราพัฒนาขึ้นมาเอง ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ซึ่งทำให้เราสามารถบริหารจัดการขั้นตอนต่างๆ ในการทำธุรกิจ ตั้งแต่การประเมินสินเชื่อ การปล่อยเงินกู้ให้ลูกค้า รวมถึงการชำระเงินค่างวดโดยลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์มือถือเข้าสู่สำนักงานใหญ่ของเรา ซึ่งส่งผลดีต่อการบริหารจัดการที่มีความรวดเร็ว สะดวกและมีต้นทุนต่ำ ทำให้เราได้เปรียบคู่แข่งกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไฟแนนซ์หรือธนาคารพาณิชย์ทั่วไป" นายมิทซึจิ กล่าว
นายมิทซึจิ กล่าวแสดงความมั่นใจว่า โมเดลธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์นี้จะช่วยให้ GL รุกเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ ในอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลให้ยอดรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
โดยการประกาศโมเดลธุรกิจใหม่นี้เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทฯ รายงานตัวเลขผลประกอบการในไตรมาส 4/58 ซึ่งโชว์ตัวเลขกำไรสุทธิ 192.90 ล้านบาท หรือสูงที่สุดในประวัติการณ์ของบริษัทฯ โดยเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวจากกำไรสุทธิในไตรมาส 4/57 ขณะที่กำไรสุทธิรวมทั้งปี 2558 อยู่ที่ 582.89 ล้านบาท พุ่งขึ้น 395.15% เมื่อเทียบกับปี 2557
ทั้งนี้ สำหรับกำไรสุทธิในไตรมาส 4/58 จำนวน 192.90 ล้านบาท นับว่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง 28% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 150.27 ล้านบาทในไตรมาส 3/58 โดยกำไรสุทธิในไตรมาสล่าสุดนี้ประมาณ 90 ล้านบาท เป็นกำไรจากผลประกอบการในประเทศไทย ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 20 ล้านบาทจากไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการปล่อยสินเชื่อที่รัดกุมมากขึ้นและคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ในขณะที่กำไรส่วนที่เหลือในไตรมาสล่าสุดอีกประมาณ 102 ล้านบาท มาจากผลประกอบการในต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่มาจากกัมพูชา ส่วนธุรกิจใหม่ของ GL ใน สปป.ลาวนั้นสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ภายในเวลาเพียง 5 เดือน หลังจากเริ่มเปิดดำเนินการเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว โดยสามารถทำกำไรได้ประมาณ 2.5ล้านบาท ในไตรมาสสุดท้ายที่ผ่านมา
เมื่อถามถึงแนวโน้มผลประกอบการในอนาคต นายมิทซึจิ ประมาณการว่า พอร์ตสินเชื่อทั้งหมดของกลุ่ม GL ซึ่งเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากประมาณ 4.5 พันล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2557 เป็นประมาณ 9.2 พันล้านบาท เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา จะยังคงขยายตัวอย่างก้าวกระโดดต่อไป โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้พอร์ตสินเชื่อทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเป็นประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ประมาณการกำไรสุทธิสำหรับปีนี้จะเดินหน้าทำนิวไฮต่อไป
นายทัตซึยา โคโนชิตะ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ GL กล่าวชี้แจงว่า มีความมั่นใจอย่างสูงต่อศักยภาพการขยายตัวของธุรกิจในกัมพูชา โดยบริษัท GLF ได้ปล่อยสินเชื่อรถมอเตอร์ไซค์ทั้งหมด 2.3หมื่นคันในรอบปีที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% ของยอดจำหน่ายมอเตอร์ไซค์ใหม่ทั้งหมดในกัมพูชาที่ 2.6 แสนคัน ซึ่งหมายความว่า GLF ยังมีโอกาสที่จะขยายธุรกิจการปล่อยสินเชื่อได้อีกมากมาย
สำหรับตลาดใหม่อีกแห่งหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ GL คือตลาดประเทศอินโดนีเซียซึ่งมีขนาดที่ใหญ่กว่าตลาดกัมพูชาถึง 10 เท่า โดย GL ได้จดทะเบียนบริษัทร่วมทุนกับกลุ่มธนาคาร J TRUST ตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างรอใบอนุญาตประกอบการจากทางการอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะได้รับภายในไตรมาสนี้และเริ่มดำเนินธุรกิจได้ในไตรมาส 2/59
ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารของ GL เริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับการรุกธุรกิจในอินโดนีเซียตั้งแต่สิ้นปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าบริษัทฯ ร่วมทุนใหม่ดังกล่าวจะเริ่มดำเนินธุรกิจเป็นมูลค่าประมาณ 20-30 ล้านเหรียญสหรัฐในปีแรก จากนั้นขนาดของธุรกิจจะขยายตัวได้อย่างรวดเร็วและสามารถขยายตัวได้เต็มที่ถึงกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐในอนาคต