นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยถึง ภาพรวมธุรกิจในปี 2559 บริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโตทั้งรายได้และกำไร 15% จากปีก่อน จากการซื้อหนี้ ด้อยคุณภาพเข้า มาบริหารอย่าง ต่อเนื่อง และสามารถจัดเก็บหนี้ได้มีประสิทธิภาพ โดยพอร์ตบริหาร หนี้เมื่อสิ้น ปี 2558 ที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 88,000 ล้านบาท ตั้งเป้าปีนี้ จะซื้อหนี้ด้อย คุณภาพเข้า มาบริหารอีก ประมาณ 20,000 ล้านบาท สนับสนุนให้สิ้นปี 2559 บริษัทฯ มีพอร์ตบริหารหนี้แตะ 1 แสนล้านบาทได้สำเร็จ
อีกทั้ง บริษัทฯ ได้เข้าไปรุกการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลอย่างจริงจังตั้งแต่ไตรมาส 3/2558 ที่ผ่านมา จากการบริหารงานของบริษัทย่อย บริษัท เจเอ็มที พลัส จำกัด โดยเริ่มต้นจากการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าของ เจมาร์ทเพื่อ ซื้อโทรศัพท์ มือถือ ภายใต้แบรนด์ เจ มันนี่ (J-Money) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี พร้อมตั้งเป้า ปล่อยสินเชื่อ ปีนี้ 2 พันล้านบาท จากเมื่อสิ้นปีมีพอร์ตสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 597 ล้านบาท
"ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา โดยเฉพาะหนี้ ครัวเรือนที่ ปรับตัวเพิ่ม สูงขึ้น ทำให้แบงก์ขายหนี้ออกมาเยอะ และเป็นโอกาส ที่ดีของ JMT ที่จะเข้าไปซื้อหนี้เสีย ทั้งจาก Bank และ Non-Bank เพิ่มมากขึ้นโดยบริษัทฯ วางงบลงทุนปี นี้อยู่ที่ 3 พันล้านบาท แบ่งเป็น 1 พันล้านบาท สำหรับการเข้าไปซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงิน เข้ามาบริหาร ส่วนอีก 2 พันล้านบาท จะนำไปปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ารายย่อย ผ่านการบริหาร งานของบริษัท ย่อย JMT PLUS อีกทั้ง ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เซ็นสัญญา กับ Shinsei Financial Co.,ltd. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือธนาคารยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่น Shinsei Bank Group เพื่อพัฒนาระบบซอฟท์แวร์ในธุรกิจด้านสินเชื่อให้กับ JMT PLUS จึงมั่นใจว่าจะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจของ JMT ในอนาคต" นายปิยะ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ในงวดปี 2558 ว่าบริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 719.14 ล้านบาท เปรียบเทียบกับ ปี 2557 มีรายได้รวมอยู่ที่ 487.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 231.45 ล้านบาท หรือ 47.46% เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้จากการ ซื้อหนี้ด้อย คุณภาพเข้า มาบริหารเพิ่ม ขึ้น 46.95% หรืออยู่ที่ 570.72 ล้านบาท เปรียบเทียบกับ ปี 2557 อยู่ที่ 388.39 ล้านบาท เป็นผลจากการซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มมากขึ้น รวมทั้ง บริษัทฯ มีรายได้ ดอกเบี้ยและราย ได้ที่เกี่ยว ข้องจากการให้ สินเชื่อเพิ่ม ขึ้นอยู่ที่ 49.39 ล้านบาท เปรียบเทียบกับ ปี 2557 อยู่ที่ 6.47 ล้านบาท จากการขยายธุรกิจสินเชื่อบุคคลในบริษัทย่อย JMT PLUS นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการติดตามหนี้สินและบริการอื่นๆ อยู่ที่ 99.03 ล้านบาท เปรียบเทียบกับปี 2557 อยู่ที่ 92.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.20 ล้านบาท หรือ 6.68% เนื่องจากบริษัทฯ สามารถติดตาม หนี้ได้มากขึ้น
สำหรับธุรกิจบริหารหนี้และการจัดเก็บหนี้ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งบริษัทฯ มีรายได้ ดอกเบี้ยและราย ได้ที่เกี่ยว ข้องจากการ ปล่อยสินเชื่อ ที่เข้ามาสนับ สนุน ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น ในปี 2558 อยู่ที่ 403.51 ล้านบาท เปรียบเทียบกับปี 2557 อยู่ที่ 259.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144.10 ล้านบาท หรือ 55.55% ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2558 อยู่ที่ 94.64 ล้านบาท เปรียบเทียบกับ ปี 2557 อยู่ที่ 120.61 ล้านบาท ลดลง 25.97 ล้านบาท หรือ 21.53% เนื่องจากบริษัทฯ มีต้นทุนทางการ เงินเพิ่มขึ้น จากการซื้อหนี้ ด้อยคุณภาพเข้า มาบริหารเพิ่ม ขึ้น และการลงทุนปล่อยสินเชื่อในบริษัทย่อย รวมทั้งค่าใช้ จ่ายในการขาย และบริหารเพิ่ม ขึ้น จากการสำรองหนี้สูญเงินลงทุนในลูกหนี้จากการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ รวมทั้งค่าเช่า อาคารสำนักงาน จากการขยาย พื้นที่รองรับ จำนวนพนักงาน ที่เพิ่มขึ้น และค่าเสื่อม ราคาของ ทรัพย์สิน
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา ได้มีมติ อนุมัติ การจัดสรรเงินกำไรงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 เพื่อจ่ายปันผลเป็นเงินสด ให้แก่ผู้ถือ หุ้นในอัตรา หุ้นละ 0.16 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลวันที่ 19 เมษายน 2559 และกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น เพื่อพักการโอน หุ้น และรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผล วันที่ 20 เมษายน 2559 กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล ขึ้นเครื่อง หมาย XD วันที่ 12 เมษายน 2559 และกำหนดวันที่ จ่ายปันผลวัน ที่ 6 พฤษภาคม 2559