นางสาวกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ดอทคอม (DDproperty.com) เว็บไซต์สื่อกลางอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ภายใต้การบริหารงานของ พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป (PropertyGuru Group) เว็บไซต์สื่อกลางด้านการค้นหาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า "ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ได้จัดทำผลสำรวจผู้บริโภคผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ เป็นประจำทุกปี ซึ่งในปีนี้ถือได้ว่าเป็นข่าวดีต้อนรับปีใหม่ ที่เห็นความมั่นใจของผู้บริโภคไทยโดยรวมเมื่อเปรียบเทียบกับ ปีก่อนออกมาในแง่บวก และคะแนนความมั่นใจก็สูงขึ้นกว่าเดิมเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2558 ถึงแม้จะไม่มากแต่สะท้อนให้เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยยังสดใสอยู่"
สำหรับปัจจัยหนุนภายในประเทศมาจากการได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐด้านมาตรการการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ อาทิ การสนับสนุนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลางให้สามารถกู้ซื้อที่อยู่อาศัยในวงเงินที่สูงขึ้นด้วยเงื่อนไขผ่อนปรน การลดค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ที่ใกล้จะถึงโค้งสุดท้ายในเดือนเมษายนนี้ และการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับรายได้ที่จ่ายไปเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดินหรือห้องชุดในอาคารชุดที่มีมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของตนเอง
คะแนนความมั่นใจต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจาก 5 ปัจจัยหลัก คือ ผู้บริโภคเล็งเห็นการเพิ่มมูลค่าของเงินทุนในระยะยาวถึง 48%, เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ 35%, ราคาอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นจนเกินไป 34%, นโยบายภาครัฐช่วยสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้ง่ายขึ้น 31% และสุดท้ายคือให้ผลตอบแทนดี 29% ส่วนผู้บริโภคเพียง 32% ที่ยังคงไม่มั่นใจต่อแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์กว่าครึ่งหนึ่งให้ความเห็นว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์โดยรวมมีการปรับตัวสูงขึ้นมากและมองว่าสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่
ทั้งนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่คาดราคาของอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์ ไม่ได้สูงจนเกินไป ยกเว้นประเภทคอนโดมิเนียมที่เล็งเห็นว่ามีราคาสูง และมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอีก 5-10%ในอีก 6 เดือนข้างหน้า (ครึ่งปีหลังปี 59) แต่อย่างไรก็ตาม กว่า 36% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อจะไม่เกิดสภาะวะฟองสบู่ขึ้นอย่างแน่นอน ในขณะที่อีกกว่า 56% ไม่แน่ใจและไม่ขอออกความเห็น
ด้านการถือครองอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดระบุเป็นผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 1 ซึ่งในจำนวนนี้มีเพียง 8% เท่านั้น ที่มีอสังหาริมทรัพย์อยู่ต่างประเทศ โดยประเทศที่มีผู้บริโภคไทยนิยมไปซื้ออสังหาริมทรัพย์มากที่สุด คือ ออสเตรเลีย 22%, แคนาดา 17% และสหรัฐอเมริกา 11% ส่วนประเภทของอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ในจำนวนนี้ 79% เป็นบ้านพร้อมที่ดิน 15% เป็นประเภทคอนโดมิเนียม และเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ และ 2% เป็นอาคารพาณิชย์
โดยเหตุผลที่ไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ 5 ลำดับแรก คือ เพราะสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตดี 50%, เพื่ออยู่อาศัยหลังเกษียณ 42%, เพื่ออยู่กับครอบครัว 31%, บุตรไปศึกษาต่อต่างประเทศ 29%, และเพื่อการลงทุน 23%
อย่างไรก็ดี จากผลภายหลังการจัดงาน "ดีดีพร็อพเพอร์ตี้โชว์" ภายใต้คอนเซ็ปต์ "โปรจัดหนัก" ระหว่างวันที่ 11-17 ก.พ. ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว พบว่า ผู้ประกอบการอสังหาฯสามารถปิดการขายไปสูงถึงกว่า 160 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 56 ยูนิต ซึ่ง 66% ราคาขายต่ำกว่า 3 ล้านบาท ทั้งที่พร้อมโอนทันทีและพร้อมโอนภายในปีนี้, 29% ราคาขายอยู่ระหว่าง 3-4 ล้านบาท, 4% ระหว่าง 4-5 ล้านบาท และ 2% มีราคาขายตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป แสดงให้เห็นว่ามาตรการของภาครัฐยังส่งผลต่อการซื้ออสังหาฯ ของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
"เศรษฐกิจภาพใหญ่ของประเทศไทย การเดินหน้าโครงการก่อสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและขนส่งของภาครัฐโดยเฉพาะการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า กว่า 11 สายทั้งที่เป็นส่วนต่อขยายและเส้นทางใหม่ ยังคงเป็นปัจจัยหนุนสำคัญในภาคอสังหาฯ ส่วนปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้งการปรับตัวลงของราคาน้ำมันโลก วิกฤตเศรษฐกิจจีนที่นักลงทุนจีนขาดความมั่นใจในรัฐบาล ทำให้เงินลงทุนไหลออกจากประเทศซึ่งปีที่ผ่านมามาสูงถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นอัตราดอกเบี้ยติดลบ ทั้งในประเทศในยุโรปและญี่ปุ่นนั้น มองยังเป็นปัจจัยหนุนเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง" นางสาวกมลภัทร กล่าวเพิ่ม
ผลสำรวจล่าสุดนี้ จัดทำในเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม 2558 โดย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ดอทคอม เว็บไซต์สื่อกลางอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย โดยคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดถึง 60% สุ่มสำรวจด้วยแบบสอบถามออนไลน์จากผู้บริโภคที่เข้ามาใช้งานเว็บไซด์กว่า 3 ล้านครั้งต่อเดือนและที่มีถิ่นฐานในประเทศไทยทั้งหมด 1,307 คนที่ถือครองอสังหาริมทรัพย์ และ/หรือ กำลังจะซื้ออสังหาริมทรัพย์ และนักลงทุน อายุระหว่าง 21-70 ปี และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป