สถิติที่ทั้งสองสายการบินได้ทำการขนส่งผู้โดยสารแล้วรวมเป็นจำนวนกว่า 3.3 ล้านคน ที่เดินทางระหว่างฐานการบินของสายการบินเอทิฮัดที่กรุงอาบู ดาบีและอินเดียในปี พ.ศ. 2558 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจำนวนที่เพิ่มขึ้นสูงเมื่อเทียบกับจำนวนผู้โดยสารจำนวน 2 ล้านคนในช่วง 12 เดือนก่อนหน้านี้
สายการบินเอทิฮัดนั้นได้กลายเป็นสายการบินต่างชาติสายการบินแรกที่ลงทุนในสายการบินของอินเดียภายใต้กฎการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของอินเดีย (Indian Foreign Direct Investment Rules) เมื่อสายการบินเอทิฮัดได้ลงทุนเป็นมูลค่า 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 26.8 หมื่นล้านบาท ในปี พ.ศ. 2556 สำหรับสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 24 ของสายการบินเจ็ทแอร์เวย์ส ปัจจุบันสายการบินเอทิฮัดให้บริการ 175 เที่ยวบินต่อสัปดาห์จากและสู่เมืองที่เป็นประตูของอินเดีย 11 แห่ง ซึ่งเครือข่ายการบินรวมกันของทั้งสายการบินเอทิฮัดและเจ็ท แอร์เวย์ส นั้นมอบเที่ยวบินจำนวนกว่า 250 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ระหว่างกรุงอาบู ดาบีและ 15 เมืองทั่วอินเดีย
เมื่อให้บริการร่วมกันทั้งสองสายการบินนั้นถือเป็นผู้นำตลาดในด้านของการเดินทางระหว่างอินเดียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยในส่วนของตลาดระหว่างประเทศโดยรวมแล้วนั้นมีจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางระหว่างกันประมาณร้อยละ 20 ของผู้โดยสารทั่วโลกที่เดินทางเข้าสู่และออกจากอินเดีย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงส่วนแบ่งตลาดขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมการเดินทางทางอากาศที่กำลังเติบโตของประเทศนี้
นอกเหนือจากนั้น เอทิฮัดคาร์โกให้บริการเที่ยวบินขนส่งสินค้าจำนวน 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์สู่เมืองในอินเดีย 4 แห่ง และได้ขนส่งสินค้าประมาณ 120,000 ตันเข้าและออกประเทศในแต่ละปี ถือเป็นจำนวนประมาณร้อยละ 9 ของปริมาณในตลาดต่างประเทศทั้งหมด
ตัวเลขเหล่านี้ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญที่สายการบินเอทิฮัดมีต่อตลาดอินเดีย ในฐานะเป็นหนึ่งในแหล่งธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของสายการบิน รวมถึงความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับสายการบินเจ็ทแอร์เวย์ส อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และอินเดีย
ความร่วมมือทวิภาคีที่เพิ่มขึ้นระหว่างสองประเทศนี้เป็นจุดสำคัญที่รัฐบาลทั้งสองได้มีการหารือร่วมกันที่มุมไบและเดลีเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นผลให้มีข้อตกลงมากมายในหลายภาคส่วนที่จะกระตุ้นความความสัมพันธ์ด้านกลยุทธ์และการค้าเศรษฐกิจระหว่างกัน
มีการคาดการณ์ว่าการค้าระหว่างสองประเทศนั้นจะเติบโตมากกว่าร้อยละ 60 ในอีก 5 ปีข้างหน้าจากระดับปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.14 ล้านล้านบาท ด้วยการลงทุนและการนำเข้า-ส่งออกในหลายภาคส่วน รวมถึงด้านพลังงาน การทหาร การผลิต การบินและอวกาศ สุขภาพ การศึกษา การท่องเที่ยว วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นผู้ลงทุนต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 10 และผู้ลงทุนจากแถบอาหรับที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินเดีย
มร.เจมส์ โฮแกน ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสายการบินเอทิฮัดกล่าวว่า "ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และอินเดียนั้นเติบโตอย่างต่อเนื่องเนื่องมาจากมิตรภาพมีมานานหลายปีและความยึดมั่นที่มีต่อการเพิ่มความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการค้าระหว่างกัน"
"สายการบินเอทิฮัดและเจ็ทแอร์เวย์สให้บริการด้วยจำนวนที่นั่งมากกว่า 44,000 ที่นั่งต่อสัปดาห์ระหว่างกรุงอาบู ดาบีและอินเดีย ทำให้เห็นว่าเราเป็นผู้ที่มีส่วนในการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียอย่างเด่นชัด ซึ่งยังมีโอกาสในการเติบโตต่อไปจากนี้อีกและเรายังมองหาโอกาสอีกมากมายที่มีอยู่ที่จะพัฒนาการปฏิบัติการของเรา"
"การลงทุนของเราในสายการบินเจ็ทแอร์เวย์สนั้นมีจุดหมายที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของอินเดีย ซึ่งก่อนที่จะมีข้อตกลงนี้สายการบินเอทิฮัดได้ขนส่งผู้โดยสารจำนวนเพียงร้อยละ 2 ของการเดินทางระหว่างประเทศเข้าสู่และออกจากอินเดีย เราได้ช่วยสายการบินเจ็ทแอร์เวย์สได้กลับมาทำกำไรได้ ปัจจุบันสายการบินเจ็ทแอร์เวย์สนั้นเป็นสายการบินหุ้นส่วนพันธมิตรอันดับหนึ่งของเราในด้านรายได้และจำนวนผู้โดยสารที่มีให้กับสายการบินเอทิฮัด และอินเดียก็เป็นประเทศต้นทางที่มีนักเดินทางมากเป็นอันดับหนึ่งของกรุงอาบู ดาบี"
"ฐานการบินของสายการบินเอทิฮัดที่ท่าอากาศยานนานาชาติอาบู ดาบีนั้นให้บริการในฐานะจุดเชื่อมต่อหลักของการเดินทางทางอากาศระหว่างอินเดียและจุดหมายอื่นๆ ของโลก ซึ่งช่วยให้ผู้โดยสารสามารถเปลี่ยนเครื่องได้อย่างสะดวกสบายและมอบทางเลือกของการเดินทางด้วยเที่ยวบินที่มากมายจากทั่วอินเดียมายังกรุงอาบู ดาบีและต่อไปยังที่ต่างๆ"
ตั้งแต่การเริ่มให้บริการเที่ยวบินจากกรุงอาบู ดาบีไปยังอินเดียในเดือนกันยายน พ.ศ. 2547 ด้วยตารางเที่ยวบินประจำสู่มุมไบ สายการบินเอทิฮัดได้มีบทบาทเพิ่มขึ้นทั่วอินเดียอย่างรวดเร็ว โดยได้เพิ่มประตูเชื่อมต่ออีก 10 แห่งและเพิ่มความถี่ในการให้บริการอีกหลายเส้นทาง รวมไปถึงความถี่ 3 เที่ยวบินต่อวันใน 7 เส้นทางบินและตั้งแต่ 1 พฤษภาคม สายการบินฯ จะเริ่มปฏิบัติการบินด้วยเครื่องบินแอร์บัส เอ380 ที่ได้รับรางวัลไปยังมุมไบ
จุดหมายปลายทางอินเดียในปัจจุบันของสายการบินเอทิฮัดจากกรุงอาบู ดาบี ได้แก่ อาเมดาบัด เบงกาลูรู (บังกาลอร์) เชนไน เดลี ไฮเดอราบัด ไจปูร์ โคชิ (โคชิน) โกลกาตา โคซิโคเด (คาลิคัต) มุมไบ และธีรุวนันทปุรัม สายการบินเจ็ทแอร์เวย์สมอบบริการจุดเข้าออกประเทศอินเดียเพิ่มเติมจากปูเน่ ลัคเนา กัว และมังคาลอร์ รวมไปถึงการเชื่อมต่อกับเที่ยวบินภายในประเทศอีกมากมาย
พันธกรณีของสายการบินเอทิฮัดที่มีต่อประเทศอินเดียสะท้อนให้เห็นได้จากการมีส่วนร่วมกับประชาคมธุรกิจในประเทศ ในปีที่แล้วสายการบินฯ เข้าเป็นสมาชิกก่อตั้งของสภาธุรกิจยูเออี (UAE Business Council) ในอินเดีย วัตถุประสงค์หลักขององค์กรคือการเป็นตัวเร่งการขับเคลื่อนให้ภาคการค้าพาณิชย์ต่าง ๆ ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดและส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และอินเดีย
มร. โฮแกนยังกล่าวเสริมว่า "อินเดียเป็นตลาดที่สำคัญไม่เพียงแต่สำหรับสายการบินเอทิฮัดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสำหรับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เองอีกด้วย ดังนั้นเราจึงเปิดรับโอกาสที่จะเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสภาธุรกิจยูเออีในอินเดีย ซึ่งพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับสายการบินเจ็ทแอร์เวย์สนั้นหมายถึงเราทั้งคู่จะได้ขนส่งผู้โดยสารทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวระหว่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และอินเดียที่มากขึ้น เรามองไปถึงโอกาสในอนาคตที่จะใช้ความสัมพันธ์นี้สร้างความเข้มแข็งให้สภาธุรกิจยูเออีในอินเดีย"
"ในฐานะสายการบิน เรามีบทบาทสำคัญที่จะอำนวยความสะดวกให้ธุรกิจและเล็งเห็นโอกาสในการลงทุนมหาศาลในอินเดียที่มาจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเรามีความยินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของอินเดีย"
นอกเหนือไปจากการลงทุนแล้ว สายการบินเอทิฮัดและสายการบินเจ็ทแอร์เวย์สยังได้เข้าสู่ปีที่สองในข้อตกลงระยะสามปีในการเป็นสายการบินพันธมิตรและผู้สนับสนุนหลักของมุมไบ อินเดียนส์ (Mumbai Indians) ทีมคริกเก็ตที่ชนะเลิศรายการเป็ปซี อินเดียน พรีเมียร์ ลีก (Pepsi Indian Premier League: IPL) ในปีที่แล้ว โดยสายการบินทั้งสองได้ร่วมกันสนับสนุนรายการกีฬาและกิจกรรมอื่น ๆ อีกทั้งยังได้นำการฝึกสอนชั้นเลิศของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีมาสู่อินเดียให้กับเยาวชนมาแล้วถึงสองครั้ง
ในเดือนหน้าสายการบินเอทิฮัด จะเข้าร่วมงานอินเดีย เอวิเอชั่น 2016 (India Aviation 2016) ที่ไฮเดอราบัด การประชุมและนิทรรศการที่จัดขึ้นทุก ๆ สองปีเพื่อนำเสนออุตสาหกรรมการบินของอินเดียซึ่งจัดโดยกระทรวงการบินพลเรือน (Ministry of Civil Aviation) และหอการค้าและอุตสาหกรรมของอินเดีย (Federation of Indian Chambers of Commerce and Industry) งานนี้จะทำให้สายการบินได้สร้างความสัมพันธ์กับผู้กำหนดนโยบาย ผู้เชี่ยวชาญด้านการบิน และผู้มีส่วนสำคัญอื่น ๆ ทั่วทั้งภาคอุตสหกรรมการบินของอินเดีย
ภายในปี พ.ศ. 2563 ปริมาณผู้โดยสารทั้งในประเทศและระหว่างประเทศที่ใช้บริการท่าอากาศยานต่าง ๆ ทั่วอินเดียจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าเป็นจำนวนกว่า 450 ล้านคน และองค์กรการท่องเที่ยวโลกของสหประชาชาติ (UN World Tourism Organisation) ได้คาดการณ์ว่าจะมีชาวอินเดียเดินทางไปต่างประเทศมากกว่า 50 ล้านคนต่อปีภายในปี พ.ศ. 2563 สายการบินเอทิฮัดมุ่งมั่นในการเป็นช่องทางให้กับตลาดการเดินทางออกนอกประเทศขนาดใหญ่นี้ รวมถึงนักเดินทางเข้าสู่อินเดียซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของกลยุทธ์ในการเติบโต